เวนิส...เมืองที่ไร้รถยนต์ และห้วงยามต้องมนต์แห่งสายน้ำ

Last updated: 26 เม.ย 2563  |  6465 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เวนิส...เมืองที่ไร้รถยนต์ และห้วงยามต้องมนต์แห่งสายน้ำ

เวนิส...เมืองที่ไร้รถยนต์
และห้วงยามต้องมนต์แห่งสายน้ำ

เรื่อง : ดลฤดี ไชยสมบัติ
ในอดีต “กรุงเทพมหานคร” เคยมีสมญานามว่า “เวนิสตะวันออก” ซึ่งสะท้อนความเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคูคลองรายล้อมคล้ายคลึงกับ นครเวนิส (Venice) เจ้าของฉายา “เมืองแห่งสายน้ำ” ตัวจริงเสียงจริงของประเทศอิตาลี

ปัจจุบัน “เวนิสตะวันออก” เหลือเพียงตำนานอันลางเลือน ในขณะที่เมืองเวนิสต้นตำรับยังคงความผูกพันกับสายน้ำอย่างไม่แปรเปลี่ยน และเป็นเมืองในฝันอันดับต้นๆ ของบรรดานักเดินทางสายโรแมนติก

นอกเหนือจากมุมด้านศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับยกย่องให้เป็น “เมืองมรดกโลก” จากองค์การยูเนสโกแล้ว เสน่ห์แปลกๆ อีกอย่างหนึ่งของเวนิส ก็คือ การเชื่อมต่อวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนด้วยการสัญจรทางน้ำ ผ่านคูคลองน้อยใหญ่ที่ใช้แทนถนน และใช่ค่ะ...เวนิสไม่ง้อรถยนต์

เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต้ (Veneto) ซึ่งประกอบด้วยเกาะเล็กๆ หลายร้อยเกาะรวมกัน นักท่องเที่ยวมักนิยมเดินทางมาโดยรถไฟ ซึ่งสามารถลงที่สถานีรถไฟหลักคือ Venezia Santa Lucia แล้วเดินข้ามมาเที่ยวในเวนิสได้เลย

สำหรับการเดินทางในตัวเมืองนั้น รถยนต์ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในเวนิส หากไม่อยากเดินเท้า ก็สามารถเลือกใช้บริการเรือสาธารณะ ซึ่งจะแบ่งเส้นทางเป็นสายต่างๆ เหมือนรถโดยสารประจำทางในเมืองใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีบริการเรือแท๊กซี่ รวมทั้งเรือข้ามฟาก และที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ก็คือ บริการเรือกอนโดล่าอันเป็นโลโก้ประจำเมืองของเวนิส


การคมนาคมในเวนิส
ใช้การสัญจรทางเรือเป็นหลัก
โดยมีทั้งเรือสาธารณะ
เรือแท็กซี่ เรือข้ามฟาก
และเรือกอนโดล่าที่เป็นโลโก้ของเมือง


เราเริ่มต้นชมเมืองจากจัตุรัสซานมาร์โค หรือ ปิอัซซา ซานมาร์โค ( Piazza San Marco) ซึ่งเป็นลานกว้างโอ่อ่าสง่างาม และเป็นแหล่งรวมของสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ ความงดงามของจัตุรัสแห่งนี้อาจการันตีได้จากคำชมของนโปเลียนที่เคยกล่าวไว้ว่า...นี่คือห้องรับแขกที่สวยที่สุดในยุโรป!

บริเวณจัตุรัสซานมาร์โครายล้อมด้วยแลนด์มาร์กประจำเมือง อาทิ มหาวิหารซานมาร์โค หรือที่ชาวเวนิสเรียกว่า บาซิลีกา ดี ซาน มาร์โค (Basilica di San Marco) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองและเป็นการผสมผสานศิลปะของหลายยุคไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ไบเซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค ไปจนถึงเรอเนสซองซ์ โดยมีจุดสนใจคือโดมใหญ่แบบโดมสุเหร่า รวมทั้งการประดับประดาด้วยหินอ่อนและจิตรกรรมโมเสกสีทองอร่ามตั้งแต่เพดานจรดพื้น


มหาวิหารซานมาร์โค สถาปัตยกรรมเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของเวนิสและเป็นการผสมผสานศิลปะของหลายยุคไว้ด้วยกัน


บริเวณจัตุรัสซานมาร์โค
ซึ่งได้รับการขนานนามว่า
"ห้องรับแขกที่สวยที่สุดของยุโรป"
แหล่งรวมของบรรดาแลนด์มาร์ก
ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
ให้มาเยี่ยมชมตลอดทั้งปี

ด้านหน้ามหาวิหาร คือ หอระฆังซานมาร์โค (Campenile di San Marco) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมวิวจากชั้นบนสุดของหอระฆังได้ ถัดมาจะเป็น หอนาฬิกา ทอร์เร เดล ออโรลอโจ (Torre dell’ Orologio) ซึ่งเป็นหอนาฬิกาโบราณ ตัวนาฬิกามีลวดลายเป็นจักรราศี ด้านบนของนาฬิกามีรูปปั้นหล่อสำริดคอยตีระฆังบอกเวลา เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องหยุดดูเพื่อรอคอยฟังเสียงระฆังกังวานในจัตุรัสแห่งนี้

ใกล้ๆ กันยังมี พระราชวังดอจ หรือ พาลาสโซ ดูกาเล (Palazzo Ducale) ซึ่งเป็นวังเก่าแก่สไตล์โกธิคของอดีตผู้ปกครองนครเวนิส พิพิธภัณฑ์ มูเซโอ ดี ซานมาร์โค (Museo di San Marco) ที่อยู่ชั้นบนของมหาวิหาร รวมทั้งคลังเก็บสมบัติโบราณในอดีต

รอบจัตุรัสซานมาร์โคยังเป็นย่านช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังและสินค้าที่ระลึกให้เหล่านักช็อปได้เพลิดเพลินไปกับบรรดาร้านรวงที่แทรกตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยต่างๆ และเมื่อถึงยามค่ำคืน เมืองทั้งเมืองจะพราวพริบระยิบระยับด้วยแสงไฟ จนทำให้เวนิสมีอีกฉายาว่า “เมืองแห่งแสงสว่าง” (City of Light)


หอระฆังซานมาร์โค
ที่สามารถขึ้นไปชมวิวของเมืองในมุมสูง
และ หอนาฬิกาโบราณ
ที่มีหน้าปัดบอกเวลา
เป็นลวดลายนักษัตร 12 ราศี


ถ้าหากมาเยือนเวนิสแล้วไม่ได้ลองล่องเรือกอนโดล่า ก็คล้ายจะมาไม่ถึงเมืองในฝันแห่งนี้...เราเลือกลงเรือกอนโดล่าที่ท่าเรือในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง แถวจัตุรัสซานมาร์โค เพื่อไปสัมผัสกับวิถีของ “เมืองแห่งสายน้ำ” ให้ใกล้ขึ้นอีกนิด

เกือบ 1 ชั่วโมงผ่านไป...เรือกอนโดล่าพาเราลัดเลาะไปตามคูคลองต่างๆ เพื่อสัมผัสสีสันและความมีชีวิตชีวาริมสองฝั่งคลองของเวนิสที่มีเสน่ห์เข้มข้นไม่เหมือนใคร (แม้ว่าน้ำในคูคลองชั้นในบางช่วงจะมีสีขุ่นคล้ำและส่งกลิ่นอยู่บ้าง)

เวนิสมีคลองใหญ่ไหลผ่านกลางเมือง เรียกกันว่า แกรนด์ คาแนล (Grand Canal ) และมีคูคลองย่อยๆ อีกกว่า 150 สาย ความผูกพันระหว่างชาวเวนิสกับสายน้ำจึงเป็นเรื่องราวที่ไม่อาจแยกขาดจากกัน เพราะรากฐานของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดในเมืองล้วนหยั่งลึกลงไปใต้น้ำ และทำให้เวนิสมีอีกหนึ่งฉายาว่า “เมืองแห่งสะพาน” (City of Bridges) เพราะสะพานข้ามคูคลองที่เชื่อมต่อระหว่างสถานที่ต่างๆ ในเวนิสมีมากกว่า 400 แห่ง

สะพานโด่งดังที่มักเห็นเป็นแบคกราวน์ในภาพถ่ายของเวนิสอยู่เสมอมีชื่อว่า สะพานรีอัลโต (Rialto Bridge) ซึ่งเป็นสะพานข้าม แกรนด์ คาแนล ที่เก่าแก่ที่สุดและมีจุดเด่น คือ เป็นสะพานหินที่มีหลังคาคลุมอย่างงดงาม และเป็นย่านการค้าที่คงอยู่ผ่านกาลเวลามานานนับร้อยๆ ปี


ถ้าไม่ล่องกอนโดล่า ชมทิวทัศน์สองฝั่งคลอง ก็เหมือนจะมาไม่ถึงเวนิส


Rialto Bridge
สะพานข้าม แกรนด์ คาแนล
ที่เก่าแก่ที่สุดของเวนิส
และเป็นอีกหมุดหมายของ
นักท่องเที่ยวที่ต้องแวะมาแชะภาพ
หรือเซลฟี่เป็นที่ระลึก

และอีกหนึ่งสะพานที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ ก็คือ “สะพานถอนหายใจ” (Bride of Sighs) หรือเรียกเป็นภาษาอิตาเลียนว่า สะพาน พอนเต เดย์ โชสปีรี (Ponte dei Sospiri) ซึ่งเดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นทางเดินเชื่อมจากพระราชวัง Palazzo Ducale ไปยังคุกคุมขังนักโทษในอดีต

...ว่ากันว่า...ที่มาของชื่อสะพานถอนหายใจ ก็คือ อาการของเหล่านักโทษ เมื่อได้มองเห็นวิวอันงดงามของเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ของสะพานแห่งนี้ ก่อนที่พวกเขาจะสูญสิ้นอิสรภาพ

...และยังว่ากันอีกว่า...หากมีคู่รักล่องเรือกอนโดล่าผ่านมาในยามใกล้ค่ำ และหากพวกเขาได้มอบจุมพิตให้กันขณะที่เรือกำลังลอดใต้สะพาน ในจังหวะโมงยามที่มีเสียงระฆังกังวานจากมหาวิหารซานมาร์โคเป็นซาวน์แทรค...ความรักของพวกเขาจะยืนยาวชั่วฟ้าดินสลาย...

ตำนานนี้จะมีความขลังปานใดนั้น เรายังไม่สามารถหาข้อมูลมายืนยันได้ในขณะนี้...แต่บรรยากาศที่ได้พานพบ ก็ล้วนส่งเสริมคำกล่าวขานที่ว่า...เวนิสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ฉ่ำไปด้วยความโรแมนติกที่สุดในโลกอย่างแท้จริง….


สะพานถอนหายใจ หรือ Bridge of Signs อันลือลั่น

Copyright: lugojan / 123RF Stock PhotoCopyright: lugojan / 123RF Stock Photo
แต่เมื่อนึกถึงการพยากรณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ว่า ระดับน้ำในทะเลอาเดรียตริกจะเพิ่มขึ้นทุกปี และเวนิสจะจมน้ำในท้ายที่สุด! เราก็อดไม่ได้ที่จะขอเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง...เฮ้ออออออ

อย่างไรก็ดี....กว่าจะถึงวันนั้น เวนิสยังรอให้ผู้มาเยือนได้เก็บเกี่ยวความงดงามและได้สัมผัสวิถีชีวิตบนสายน้ำของชาวเมืองที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามานานนับหลายๆ ร้อยปี และเป็นเงื่อนไขที่สร้างสรรค์วิถีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหล


Photos : Donrudee Chaisombat


เบื้องหน้าสายน้ำ...เราอำลาเวนิสด้วยความหวังว่า...ความก้าวล้ำด้านเทคโนโลยีจะสามารถปกป้อง “เมืองมรดกโลก” แห่งนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อเป็น “พลังงานทางจิตใจ” ของมนุษยชาติไปอีกนานเท่านาน...
หมายเหตุ : ภาพลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก 123RF ขอสงวนสำหรับงานบทความใน Energy Time Online เท่านั้น และขอความกรุณาไม่นำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้