Last updated: 1 มี.ค. 2566 | 614 จำนวนผู้เข้าชม |
เอ็กโก กรุ๊ป สอบผ่านวิกฤตราคาเชื้อเพลิง
Hight Light:
● เอ็กโก กรุ๊ป สอบผ่านวิกฤตราคาเชื้อเพลิง กำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2564
● จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท
● เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งต่อยอดโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม และพลังงานทางเลือกอื่น เช่น ไฮโดรเจน พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดคาร์บอน
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป รายงานผลประกอบการปี 2565 รับรู้รายได้รวม 65,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,683 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังปีนี้ 3.25 บาทต่อหุ้น ปี 2566 มุ่งต่อยอดโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม และพลังงานทางเลือกอื่น ๆ อาทิ ไฮโดรเจน และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดคาร์บอน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปี 2565 อุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานต้องเผชิญกับความท้าทายจากราคาพลังงานโลกและภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ผลประกอบการในปี 2565 ของบริษัทฯ สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตการณ์ราคาพลังงานปี 2565 ได้ดี ทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงและภาวะเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ รายได้และกำไรจากการดำเนินงานยังคงขยายตัวได้ดี และยังสามารถขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยผลประกอบการปี 2565 มีรายได้รวม 65,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% และมีกำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพาจู อีเอส ที่เกาหลีใต้ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี ที่ สปป.ลาว โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา ที่ฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าขนอม จ.นครศรีธรรมราช และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ และมีกำไรสุทธิ 2,683 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 สาเหตุมาจากการรับรู้การด้อยค่าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยและโรงไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ ได้แก่ การรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนของโรงไฟฟ้าสตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ และการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการหยุนหลิน
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 (AGM) ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อ ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 15 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2566 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2566 หากรวมการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 คิดเป็นทั้งหมด 6.50 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ ในปี 2565 ได้มีการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว กำลังผลิตรวม 650 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นเพิ่ม 10% เพื่อถือหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม และเทพพนา วินด์ฟาร์ม จังหวัดชัยภูมิ การซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้าไรเซ็ก ที่สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 609 เมกะวัตต์ และการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้าสตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ ที่อินโดนีเซีย นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ ลงนาม MOU ศึกษาและพัฒนาแผนงานด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในโรงไฟฟ้าของเอ็กโก กรุ๊ป
สำหรับโครงการหยุนหลิน เอ็กโก กรุ๊ป และพันธมิตรเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งเป็นการก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด การรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการนี้เกิดจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติและอยู่เหนือการควบคุม โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากไต้หวันมีมาตรการเข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศถึง 2 ครั้งในช่วงปี 2563-2565 ทำให้กระทบต่อการเดินทางและการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เครื่องมือในการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงพื้นที่ก่อสร้างบริเวณช่องแคบไต้หวัน มีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุม โดยในแต่ละปีมีระยะเวลาทำงานหลักจำกัดเพียง 6 เดือนเท่านั้น ส่งผลให้กำหนดแล้วเสร็จของโครงการจำเป็นต้องขยายออกไปจนถึงปี 2567
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งต่อยอดความสำเร็จและแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีความจำเป็นในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของพลังงาน รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่น เช่น ไฮโดรเจน ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดคาร์บอน นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ยื่นข้อเสนอในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบ FiT ของภาครัฐ โดยผ่านการพิจารณาเบื้องต้น 16 โครงการ ทั้งประเภทโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและแบบร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) กำลังผลิตรวม 300 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่ม COD เดือนมกราคม 2567
21 พ.ค. 2568
21 พ.ค. 2568
21 พ.ค. 2568