Last updated: 13 ก.ย. 2566 | 9999 จำนวนผู้เข้าชม |
กระทรวงพลังงานเดินหน้าเปิดเสรีน้ำมัน สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกวันนี้ (13 กันยายน 2566) มีมติลดค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย มีผลงวด กันยายน-ธันวาคม 2566 ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเหลือต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของรัฐบาลชุดใหม่ วันนี้ (13 กันยายน 2566) มีมติเห็นชอบให้ลดค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 จากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเรียกเก็บที่ 4.45 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย เริ่มรอบบิลเดือนกันยายน เป็นต้นไป
และมีมติให้ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ให้ราคาต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยจะเริ่มได้วันที่ 20 กันยายนนี้ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินจะต้องดูรายละเอียดในกลุ่มผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจริง ๆ ซึ่งจะมีมาตรการตามมาภายหลัง
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ เป็นปลัดกระทรวงพลังงานคนใหม่ แทนนายกุลิศ สมบัติศิริ ที่จะเกษียณอายุราชการ วันที่ 30 กันยายนนี้
ทางด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งสอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลเร่งด่วนในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ประกอบกับสถานการณ์พลังงานในตลาดโลกเข้าสู่ในไตรมาส 4 ปรับตัวสูงขึ้น
โดยกระทรวงพลังงานเสนอมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน 2 ด้าน ได้แก่ 1.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีมติให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ถึง 31 ธันวาคม 2566 โดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาทต่อลิตร จากเดิมเรียกเก็บอยู่ที่ 5.99 บาทต่อลิตร และใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาอุดหนุนราคา ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีการชดเชยราคาขายปลีกดีเซล 6.97 บาทต่อลิตร และสถานะกองทุนน้ำมันฯ ยังติดลบกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน กระทรวงพลังงานจะพิจารณารายละเอียดแนวทางการช่วยเหลือให้แก่ผู้ใช้น้ำมันเบนซินกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างและแท็กซี่ และนำเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้ง โดยจะมีการกำกับดูแลราคาขายปลีกให้มีค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ประมาณ 2 บาทต่อลิตร
สำหรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) จะตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2566 โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ และจะมีมาตรการช่วยเหลือส่วนลดค่าก๊าซหุงต้มให้กับผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มเป้าหมาย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
2.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า จะปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือน กันยายน-ธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.10 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันจัดเก็บ 4.45 บาทต่อหน่วย โดยกระทรวงพลังงานจะหารือกับ กกพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการคิดราคาก๊าซธรรมชาติ Pool gas ให้ไม่เกินค่าประมาณการคงที่ ประมาณ 305 บาทต่อล้านบีทียู และให้นำส่วนต่างของราคาก๊าซฯ ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซฯ ที่เรียกเก็บไปทยอยเรียกเก็บคืน ซึ่งจะทำให้ปรับลดราคาค่าไฟฟ้าลงได้อีก นอกจากนี้ จะมีมาตรการช่วยเหลือส่วนลดค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมให้แก่กลุ่มเปราะบาง เช่น การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน โดยจะนำเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป
“สิ่งที่กระทรวงพลังงานจะเร่งทำ คือ การลดราคาพลังงาน รวมทั้งเร่งสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยมองว่าปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ไม่ได้เป็นการทำธุรกิจพลังงาน รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่า ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการบริการหรือการเข้าถึงพลังงานในราคาที่เป็นธรรมและเหมาะสมให้เร็วที่สุด และจะวางโครงสร้างการแก้ปัญหาราคาพลังงานในระยะยาว” นายพีระพันธุ์ กล่าว
ส่วนการเปิดเสรีน้ำมันนำเข้าน้ำมันก็จะเดินหน้าต่อ แต่ไม่ได้ให้นำเข้ามาแข่งขันกัน แต่หากกลุ่มใดที่รวมตัวกันแล้วมีศักยภาพนำเข้าน้ำมันมาในราคาถูกก็สามารถนำมาใช้ในได้” นายพีระพันธุ์ กล่าว
สำหรับเรื่องการแต่งตั้งผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนใหม่ ขอเวลาพิจารณาก่อน เนื่องจากตอนนี้จะต้องเร่งทำเรื่องลดราคาพลังงานให้แล้วเสร็จ
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สถานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 10 กันยายน 2566 ติดลบ 59,086 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 14,311 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้มติดลบ 44,774 ล้านบาท
23 มิ.ย. 2568
20 มิ.ย. 2568
23 มิ.ย. 2568
20 มิ.ย. 2568