Last updated: 3 ต.ค. 2566 | 9158 จำนวนผู้เข้าชม |
สกนช. คาดสิ้นปีนี้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 1 แสนล้านบาท
นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า คาดว่าสิ้นปีนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะติดลบ ประมาณ 90,000-100,000 ล้านบาท จากการชดเชยราคาพลังงานทั้งราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันมีการชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 8.02 บาทต่อลิตร และการอุดหนุนราคาก๊าซปิโตรเหลว (LPG) อย่างไรก็ตาม กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชดเชยราคาพลังงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้มีการจัดหาเงินกู้เพิ่มเติม 50,333 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงเทพ ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะทยอยเบิกเงินตามความจำเป็นของการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลาที่เหมาะสม
หลังจากสิ้นสุดการตรึงราคาพลังงานตามนโยบายรัฐบาลในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ก็ได้มีการจัดทำแผนงานเพื่อนำเสนอรัฐบาล ว่าจะมีนโยบายเกี่ยวกับราคาพลังงานต่อไปอย่างไร
ส่วนการคืนหนี้เงินกู้ของกองทุนน้ำมันฯ มีช่วงเวลาปลอดการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 2 ปี และจะเริ่มทยอยคืนหนี้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ในรอบ 1 ปี ตามปีงบประมาณ (ต.ค.2565-ก.ย.2566) ได้มีการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานในช่วงวิกฤตน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.-ธ.ค.2565) สถานการณ์ราคาน้ำมันเริ่มผ่อนคลาย ฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ที่เคยติดลบ 130,000 ล้านบาท ก็ทยอยลดลงเหลือ 49,000 ล้านบาท รัฐบาลมีมาตรการนำกลไกลดภาษีสรรพสามิตดีเซลเข้ามาช่วยพยุงราคาน้ำมัน และกองทุนฯ ทยอยลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับลดราคาขายปลีกดีเซลไปแล้วรวม 7 ครั้ง จากราคา 35 บาทต่อลิตร มาเป็น 32 บาทต่อลิตร จนปัจจุบันราคาลดลงมาอยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.-31 ธ.ค. 2566 โดยเบื้องต้นใช้กลไกลดภาษีสรรพสามิตลง 2.50 บาท/ลิตร และใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาราคาขายปลีก
นอกจากนี้ การออกพระราชกำหนดผ่อนผันให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 ได้มีส่วนช่วยทำให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ โดยสถานะ
การกู้ยืมเงินของ สกนช. ได้ทยอยกู้ยืมเงินโดยสอดคล้องกับแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2566 โดยลงนามในสัญญากู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินรวม 105,333 ล้านบาท ปัจจุบัน สกนช. เบิกเงินกู้ยืมแล้ว 55,000 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมที่เบิกได้อีก 50,333 ล้านบาท
ส่วนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2566 ได้ปรับขึ้นราคาจาก 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม เป็น 423 บาทต่อถัง 15 กก.โดยมีผลวันที่ 1 มี.ค.2566 โดยให้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคา
ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ ณ วันที่ 1 ต.ค.2566 ติดลบ 65,732 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 20,806 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 44,926 ล้านบาท
ทิศทางการดำเนินงานปี 2567 (ต.ค.66-ก.ย.67) คาดว่าประมาณการราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกจะอยู่ที่ 115 -130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยราคาเชื้อเพลิงยังคงเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลัก คือ การปรับลดอัตราการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกและโอเปกพลัส ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงสูง ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารจัดการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้เหมาะสมโดยเฉพาะน้ำมันดีเซล และก๊าซ LPG ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญมีผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และคาดว่าจะสามารถนำวงเงินกู้ยืมที่ยังเหลืออีก 50,333 ล้านบาท มาช่วยรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันในประเทศได้ตามวัตถุประสงค์ที่กองทุนน้ำมันฯ กำหนดไว้
นอกจากนี้ สกนช. จะทบทวนแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 5 ปี (ปี 2568-2572) เพื่อปรับปรุงยุทธศาสตร์การรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงว่า หลักเกณฑ์ระดับราคาที่เหมาะสมของเชื้อเพลิงควรอยู่ที่เท่าใดเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งได้ขยายระยะเวลาดำเนินการออกไปครั้งแรก 2 ปี จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2567 นั้น จะต้องพิจารณาทิศทางของราคาเชื้อเพลิงชีวภาพที่นำมาเป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงอีกครั้งว่าจะเป็นเช่นไร อย่างไรก็ดี ตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ยังมีระยะเวลาอีกช่วงที่สามารถต่ออายุไปได้อีกครั้งจนถึงปี 2569 ซึ่ง สกนช. จะต้องนำเสนอให้กับรัฐบาลเพื่อพิจารณาต่อไป
17 ก.ค. 2568
17 ก.ค. 2568
17 ก.ค. 2568
17 ก.ค. 2568