Last updated: 20 ส.ค. 2568 | 233 จำนวนผู้เข้าชม |
ปตท. เดินหน้าแปลงสินทรัพย์เป็นกระแสเงินสดภายใน 2 ปี 1 แสนล้านบาท
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. ยังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ที่จะยกระดับผลการดำเนินงาน เพิ่ม EBITDA Uplift ของกลุ่ม ปตท. ประมาณ 30,000 ล้านบาท ผ่านโครงการสำคัญต่าง ๆ โดยวางแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ระยะสั้น มีการบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. (Asset Monetization) เพื่อแปลงสินทรัพย์เป็นกระแสเงินสด ปี 2568-2569 ให้ได้ประมาณ 100,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี 2568 ประมาณ 38,000 ล้านบาท และปี 2569 ประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก EV Business, Power และ Infrastructure ซึ่ง ปตท. ไม่มีความถนัด และได้มีการทยอยขายหุ้นในหลายบริษัทออกไปแล้ว ทั้งการขายหุ้นใน Horizon, Neo Mobility, Lotus และ Avaada
การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ D1 และ P1 เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยครึ่งปีแรกปีนี้มีการปรับโครงสร้าง Non-Hydrocarbon Business Restructuring ไปแล้ว 2,383 ล้านบาท จากเป้าปีนี้ 4,325 ล้านบาท
การทำ Operational Excellence (MissionX) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ครึ่งปีแรกสามารถทำได้แล้ว 4,700 ล้านบาท จากเป้าปีนี้ 10,000 ล้านบาท
การขับเคลื่อน Digital Transformation (Axis) ซึ่งครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 60 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 200 ล้านบาท และปีนี้ตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้อีก 10,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกปีนี้ทำได้แล้ว 3,814 ล้านบาท
ระยะกลาง อยู่ระหว่างการจัดหาพันธมิตรเพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ในบริษัทลูก 3 บริษัท คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ที่จะมีการขายหุ้นให้กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ เพื่อมาช่วยขยายขีดความสามารถใตการแข่งขันให้กับ 3 บริษัทนี้ โดย ปตท. ได้มีการพูดคุยกับพันธมิตรหลายราย คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะได้รายชื่อพันธมิตรทั้งหมด และคาดว่าภายในปีหน้าจะได้ผู้ร่วมทุนรายใหม่ ซึ่ง ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน 3 บริษัทนี้
ระยะยาว จะดำเนินโครงการ CCS ในแหล่งอาทิตย์ ผ่าน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการลงทุนแล้ว จะมีการนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ออกจากโรงงานในกลุ่ม ปตท. มากักเก็บไว้ในหลุมปิโตรเลียมของแหล่งอาทิตย์ คาดว่าจะกักเก็บได้ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไดในปี 2571 และมีการศึกษา Eastern Thailand CCS Hub แล้วเสร็จ เพื่อขยายความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนฯ ให้กับกลุ่ม ปตท. และลูกค้านอกกลุ่ม ปตท. กำลังการกักเก็บ 5 ล้านตันคาร์บอนฯ
ด้านธุรกิจไฮโดรเจน มีการจัดทำแผนแม่บทแล้วเสร็จ กำลังศึกษาโอกาสในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้า พร้อมลงนามข้อตกลงความร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ในการจัดหาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวที่ผลิตในประเทศอินเดียสู่ประเทศไทยร่วมกับ Avaada Ventures Private Limited
ที่ผ่านมา ปตท. เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็นธุรกิจหลักที่ ปตท. มีความเชี่ยวชาญ ได้เดินหน้าสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ มุ่งเน้นเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง อาทิ การขยายธุรกิจด้านสำรวจและผลิต โดย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ได้ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ๆ โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากทั้งแหล่งอาทิตย์ แหล่งสินภูฮ่อม และแหล่ง MTJDA รวมไปถึงชนะการประมูลในโครงการ Reggane II ขณะเดียวกัน ปตท. ได้ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Global LNG Player สร้างการเติบโต ขยาย LNG Portfolio สู่เป้าหมาย 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 และ 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2578 พร้อมลงนามข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหา LNG ระยะยาวกับบริษัท 8 Star Alaska, LLC ประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่วนธุรกิจ Non-Hydrocarbon เดินตามแผนกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุน โดยธุรกิจ Life Science ร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ สร้างการเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง โดยมีแผนที่จะนำบริษัท อินโนบิก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาหาธุรกิจใหม่เพิ่มเติม เพื่อสร้งความแข็งแกร่งให้กับอินโนบิก
20 ส.ค. 2568
20 ส.ค. 2568
19 ส.ค. 2568
19 ส.ค. 2568