Last updated: 27 พ.ย. 2568 | 86 จำนวนผู้เข้าชม |
OR ยกระดับ EV Station PluZ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครบวงจร
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.นํ้ามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า “OR EV Ecosystem & Future Trend” เป็นการสะท้อนบทบาทของ OR ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ครบวงจร จากการที่ประเทศไทยมีเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายให้ 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นรถไฟฟ้าภายในปี 2030 และสนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายสถานีชาร์จให้เพียงพอกับปริมาณรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น
โดย OR ได้ขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ครอบคลุม ตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จ 7,000 หัวชาร์จ DC ทั่วประเทศภายในปี 2030 เพื่ออํานวยความสะดวก เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ จากปัจจุบัน OR มีหัวชาร์จแล้วกว่า 3,300 หัวชาร์จ ทั้งในสถานีบริการ PTT Station สถานี LPG สถานี NGV รวมถึงขยายสถานีชาร์จทั้งในและนอก PTT Station รวมถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพ และเป็นพื้นที่มีความต้องการหนาแน่น เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม โรงพยาบาล ออฟฟิศ และสํานักงาน ซึ่งบางที่ที่มีศักยภาพ ก็มีการเพิ่มหัวชาร์จถึง 8 หัวชาร์จ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และลดระยะเวลาในการเติมโดยภายใน 2 ปี จะเติมได้ขนาด 800 กิโลวัตต์ ทำให้การชาร์จจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวเสริมว่า OR มองธุรกิจ EV ไม่ได้มาแทนธุรกิจนํ้ามัน แต่เป็นการต่อยอดโครงสร้างธุรกิจเดิมให้ตอบโจทย์พลังงานสะอาด และสร้างโอกาสใหม่ให้สถานีบริการพีทีที สเตชั่น โดยมองว่าการชาร์จรถไฟฟ้าทําให้ลูกค้าใช้เวลาในสถานีจากเดิมราว 5 นาที เพิ่มเป็น 30–45 นาที ซึ่ง OR ใช้เป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์นอกสถานีบริการนํ้ามัน หรือ “OR SPACE” ที่ปรับโฉม Ecosystem ของ OR ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค Energy Transition โดยผสานพื้นที่เชิงพาณิชย์ บริการไลฟ์สไตล์ และบริการเสริมด้าน EV เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สถานีบริการกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ทั้งการเดินทางและการใช้ชีวิตและขยาย OR Ecosystem ภายในสถานีบริการ ทั้งร้าน Café Amazon และร้านอาหารต่าง ๆ ตลอดจนบริการด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ เช่น คลินิกโอบอ้อม ร้าน found & found ซึ่งรวมสินค้าสุขภาพและความงาม และ Otteri WASH & DRY เป็นต้น เพื่อเปลี่ยนสถานีบริการ ให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ทั้ง “ชาร์จรถ และชาร์จพลังชีวิต” ไปพร้อมกันกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้ OR ยังมุ่งพัฒนาแอปพลิเคชัน EV Station PluZ ให้เป็นศูนย์กลางประสบการณ์ “จอง–ชาร์จ–จ่าย–สะสมแต้ม” ในช่องทางเดียว และศูนย์บริการลูกค้าครบวงจร พร้อมยกระดับเทคโนโลยี Quick Charger ที่รองรับกําลังไฟในทุกระดับ เพื่อรองรับทั้งรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลและรถเชิงพาณิชย์ รวมทั้ง
เริ่มขยายสู่ หัวชาร์จแบบ Ultra Fast Charging เพื่อรองรับรถ EV รุ่นใหม่ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่สามารถชาร์จได้เร็วเป็นพิเศษ
EV Station PluZ พร้อมเดินหน้าพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจว่า “EV Station PluZ ชาร์จความมั่นใจ...ไปได้ทุกที่” ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน EV Station PluZ ได้ทั้งบนระบบ iOS และ Android เพื่อใช้ค้นหาสถานีชาร์จและใช้งานสถานีชาร์จได้สะดวกยิ่งขึ้น และยังสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชั่น และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมต่าง ๆ ผ่านช่องทาง LINE Official Account: @evstationpluz และ facebook fanpage : EV Station PluZ
หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวด้วยว่า สำหรับการขยายธุรกิจในต่างประเทศ OR จะใช้โมเดลความสำเร็จจากในประเทศ แล้วขยายไปยังต่างประเทศ เน้นที่เอเเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่คือประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ซึ่งอยู่ติดกับประเทศไทย อย่างเมียนมาร์จะเป็นประเทศที่ไทยได้เปรียบเพราะการคมนาคมขนส่งสะดวกทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นทางถนน ทางรถไฟ ทางเรือทางท่อน้ำมัน และมองว่าสถานการณ์ภายในของเมียนมาร์น่าจะคลี่คลายได้ในเร็ว ๆนี้ ส่วนที่ลาว ก็จะมีสถานีบริการน้ำมันของ OR ในเกือบทุกจังหวัดแล้ว ส่วนที่กัมพูชาเดิมทีมีเกือบ 200 สถานี ซึ่ง 10% เป็นของ OR ที่เข้าไปลงทุนเอง ส่วนอีก 90% เป็นของดีลเลอร์ ซึ่งจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ทำให้สถานีบริการลดลงไป ยอดขายลดลงไปประมาณ 50-60% แต่ไม่ได้กระทบต่อภาพรวมการดำเนินงานของ OR เพราะคิดเป็นสัดส่วนกำไรเพียง 2-3% เท่านั้น แต่หากสถานการณ์ถึงขั้นเลวร้าย ก็พร้อมที่จะถอนการลงทุนในกัมพูชาทั้งหมด ส่วนที่เวียดนามได้มีการปิดให้บริการร้านกาแฟทั้ง 20 - 30 สาขา เนื่องจากที่เวียดนามมีการแข่งขันที่สูงมาก ไม่สามารถแข่งขันกับร้านในพื้นที่ได้
แต่อย่างไรก็ตามก็ถือเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทต้องทบทวนสถานการณ์การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านให้มีความระมัดระวังมากขึ้น เพราะยิ่งมีประเทศที่ใกล้ชิดกันเท่าไร แต่หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็จะกระทบต่อการลงทุนได้
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันในปีหน้ามองว่า ราคาน้ำมันน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณกว่า 60 - 70 กว่าเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไม่น่าเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะถือว่าเป็นระดับที่รับได้ของฝ่ายผู้ใช้และผู้ผลิต และเป็นระดับราคาที่ยังไม่จูงใจให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานประเภทอื่น ยังคงเป็นน้ำมันต่อไป
ทั้งนี้ในปีหน้าตั้งเป้าว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด หรือ มาร์เกตแชร์ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในปีหน้าจากปัจจุบันอยู่ที่ 36% และตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการในสถานีบริการทั้งหมดให้ได้ 4.3 ล้านคนต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 4 ล้านคนต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 5 ล้านคนต่อวัน ในปี 2028 เพราะถ้ามีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น นั่นหมายความว่าจะมีผู้มาใช้บริการในร้านอื่น ๆ ในสถานีบริการเพิ่มขึ้นด้วย
27 พ.ย. 2568
27 พ.ย. 2568
27 พ.ย. 2568
27 พ.ย. 2568