Last updated: 4 ธ.ค. 2568 | 123 จำนวนผู้เข้าชม |
กฟผ. พร้อมเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทย ด้วย Green Energy และ AI
ผู้ว่าการ กฟผ. คนใหม่พร้อมขับเคลื่อน กฟผ. เป็นผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทย และเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยด้วยพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมเร่งจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ราคาถูกด้วยสัญญาระยะยาว เพื่อลดต้นทุนค่าไฟ เตรียมพร้อมการเปิดเสรีไฟฟ้า ที่จะเริ่มจากการทำโครงการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างภาคเอกชน (Direct PPA) โดยให้ภาครัฐดูสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ที่เหมาะสม เพื่อให้รักษาความมั่นคงในระบบไฟฟ้าได้
“ด้วยทิศทางพลังงานโลกที่มีความต้องการพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการขยับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยเร็วขึ้นเป็นปี 2050 ทำให้ กฟผ. ต้องปรับบทบาทจากผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงไปสู่การดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทย และผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยด้วยพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวและการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายนรินทร์ เผ่าวณิชย์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าว
แนวโน้มภาครัฐมีทิศทางที่จะเปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้าไทย โดยเริ่มจากโครงการ Direct PPA นำร่องขายให้กับธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ 2,000 เมกะวัตต์ ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ล่าสุด อนุมัติให้ กฟผ. สามารถขายไฟฟ้าตรงกับลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความต้องการไฟฟ้า 200 เมกะวัตต์ขึ้นไปได้ แต่จะต้องมีการนำเสนอให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (พ.ร.บ.กฟผ.) เพื่อให้ดำเนินการในเรื่องนี้ได้ ทั้งนี้จากตัวเลขของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจากดาต้าเซ็นเตอร์ในปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 3,800 เมกะวัตต์ แต่ไม่ว่ารัฐจะเปิดให้เอกชนเข้ามาผลิตไฟฟ้ามากขึ้นเท่าไร และมาจากภาคส่วนไหนนั้น กฟผ. ก็พร้อมที่จะจัดทำระบบให้มีความมั่นคงเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น และการดูแลไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ รวมถึงจะดูแลเรื่องค่าไฟฟ้าด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพัฒนาพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีอัจฉริยะ กฟผ. จะเร่งผลักดันโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ. ที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จังหวัดกาญจนบุรี กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์
มองหาพลังงานคาร์บอนต่ำ อาทิ การนำไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% โดยได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงผสมไฮโดรเจนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม กฟผ. 6 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษาข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. มีการศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ. เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จะผลักดันโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เป็นพลังงานสะอาด และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ สอดรับกับความต้องการของนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่ง กฟผ. พร้อมเป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้า SMR
ยังเร่งพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้า รองรับความผันผวนจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ โดยมีแผนพัฒนาโครงการ 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนกะทูน พัฒนาแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ซึ่งสามารถจ่ายไฟเข้าระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว พัฒนาศูนย์การพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center) ผสานข้อมูลพยากรณ์ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ รวมถึงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับพลังงานทดแทน การเชื่อมโยงกับโรงไฟฟ้าเอกชน และการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
กฟผ. มีแผนจัดหา LNG ราคาถูกด้วยสัญญาระยะยาว พร้อมยืดอายุโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำ อาทิ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 12 และ 13 จังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และยังมีโรงไฟฟ้าน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงและแข่งขันได้ โดยในปี 2569 มีแผนที่จะจัดหา LNG ประมาณ 1.2 – 1.5 ล้านตัน เพื่อนำมาป้อนเป็นเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จากในปีนี้มีการจัดหา LBG ให้โรงไฟฟ้าบางปะกง ประมาณเกือบ 1 ล้านตัน กฟผ. ต้องการจัดหา LNG ด้วยสัญญาระยะยาว 10 – 15 ปี เพราะมีความสามารถในการจัดหา LNG ได้ในราคาต่ำที่สุด และมีผู้เสนอขาย LNG ให้ กฟผ. กว่า 20 ราย ซึ่งหากจัดหาได้ตามแผนจะนำมาช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น
ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ก็มีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง ทั้ง ELEX by EGAT, Back EN และการให้ใบรับรองคาร์บอนเครดิต (REC)
4 ธ.ค. 2568
4 ธ.ค. 2568
4 ธ.ค. 2568
4 ธ.ค. 2568