Last updated: 26 เม.ย 2563 | 794 จำนวนผู้เข้าชม |
พลังงานแจงนายกฯ ทำ 4 นโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
นายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าส่วนราชการ เร่งทุกหน่วยงานขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ช่วยกู้สถานการณ์วิกฤตจากภัยโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่น หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เผยกระทรวงพลังงานทำ 4 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อรับฟังความคืบหน้าของการดำเนินนโยบายต่างๆ และมอบนโยบายให้ทุกส่วนราชการที่เข้าร่วมกว่า 40 หน่วยงาน บูรณาการการทำงานในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมขับเคลื่อนมาตรการเร่งด่วนที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปด้วยดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งจะนำมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้นำเสนอความคืบหน้าการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานที่สำคัญ 4 ด้าน คือ 1.ด้านไฟฟ้า การขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งเตรียมประกาศหลักเกณฑ์การรับซื้อภายในเดือนมีนาคมนี้ มีเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้า 700 เมกะวัตต์ เกิดเม็ดเงินลงทุนหมุนเวียนกว่า 6 หมื่นล้านบาท สร้างรายได้ให้กองทุนหมู่บ้านทุกปี และยังช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จากการเผาวัสดุเกษตร 2.5 หมื่นตัน ซึ่งขณะนี้มีโรงไฟฟ้าชุมชนนำร่องที่สามารถยื่นขอจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชนได้ทันที อาทิ โรงไฟฟ้าชุมชนที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่ อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ที่ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และที่ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส
2.ด้านน้ำมัน การส่งเสริมการใช้น้ำมัน B10 และการบริหารสต็อกน้ำมันปาล์มที่ใช้ในภาคพลังงาน โดยกระทรวงพลังงานได้ประกาศนโยบายส่งเสริมการใช้ B10 เพื่อเป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2562 และสามารถเดินหน้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยตั้งแต่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป B10 เริ่มมีจำหน่ายทุกสถานีบริการน้ำมันแล้ว เป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลให้กับพืชพลังงานปาล์มน้ำมัน ซึ่งภายหลังจากประกาศนโยบายทำให้ปัจจุบัน (เฉลี่ย 1-5 มี.ค.63) ราคาปาล์มทะลายอยู่ที่ 5.30 บาท/กิโลกรัม (กก.) จากเดิมก่อนกำหนดนโยบายอยู่ที่ประมาณ 2.80 บาท/กก. และราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) อยู่ที่ 33.50 บาท/กก. จากเดิม 16.20 บาท/กก. อีกทั้งยังวางมาตรการกำกับดูแลบริหารจัดการข้อมูลสต็อกไบโอดีเซลอย่างครบวงจร และยังวางมาตรการป้องกันการลักลอบน้ำมันปาล์มดิบเข้ามาในประเทศอย่างได้ผลด้วยการใช้เทคนิคตรวจ DNA ของสัญชาติน้ำมันปาล์มดิบ
3.ก๊าซธรรมชาติ ความคืบหน้าการพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าขายก๊าซธรรมชาติเหลวในภูมิภาคนี้ (LNG Hub) โดบได้วางโครงสร้างพื้นฐานก๊าซฯ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน LNG ของเอเชีย โดยกำหนดไว้ในปี 2569 จะพัฒนาคลังรับ-จ่าย และแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) และการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ (โรงไฟฟ้าขนอม และสุราษฎร์ธานี) ส่วนปี 2571 จะพัฒนา LNG Terminal (โรงไฟฟ้าจะนะ) แล้วเสร็จ และในปี 2572 โครงการพัฒนาท่อส่งก๊าซฯ (โคราช-โรงไฟฟ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) แล้วเสร็จ ซึ่งสามารถนำโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เกิดประโยชน์ทางธุรกิจและเกิดการจ้างงาน
4.ภัยแล้ง กระทรวงพลังงานได้เตรียมวางแผนร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการบริการจัดการให้เกิดความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่กระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภคช่วงภัยแล้ง พร้อมกับได้พัฒนาระบบ Geographical Information System เพื่อติดตามจุดติดตั้งระบบสูบน้ำพลังแสงอาทิตย์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจเพื่อกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาภัยแล้งในปี 2563 ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ 2,003 บ่อ คาดว่าจะแล้วเสร็จอีก 662 บ่อ
8 พ.ย. 2567
8 พ.ย. 2567
8 พ.ย. 2567
10 พ.ย. 2567