ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

Last updated: 24 มิ.ย. 2564  |  769 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

RATCH เพิ่มทุน หลังซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อินโดนีเซีย

RATCH เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 14,500 ล้านบาท เป็น 22,192.30 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 7,692.30 ล้านบาท หลังเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2,000 เมกะวัตต์ ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะได้รับเงินจากขายหุ้น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะนำมาขยายการลงทุนในอนาคต โดยครึ่งปีแรกลงทุนซื้อกิจแล้ว 5 โครงการ ถือเป็นการขยายการลงทุนในเวลาอันรวดเร็ว และมีการขยายไลน์ธุรกิจไปธุรกิจอื่นมากขึ้น จับตาครึ่งปีหลัง ขยายการลงทุนมากขึ้น

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จาก 14,500,000,000 บาท เป็น 22,192,307,700 บาท โดยการออกหุ้นสามัญที่ออกใหม่ จำนวน 769,230,770 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท รวม 7,692,307,700 บาท เพื่อออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทฯ มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ (Preferential Public Offering: PPO) และเพื่อออกและเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) โดยจัดสรรในอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิมไม่ต่ำกว่า 1.885 หุ้น ต่อ 1 หุ้นสามัญที่ออกใหม่

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นสามารถจองซื้อหุ้นสามัญที่ออกใหม่เกินกว่าสิทธิได้ โดยให้จัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่ที่ไม่ได้รับการจองซื้อในการจัดสรรครั้งแรกที่เหลือให้แก่ผู้ถือหุ้นที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิและชำระราคาค่าจองซื้อหุ้นครบถ้วนแล้วทุกราย โดยการจัดสรรหุ้นที่เหลือให้เป็นไปตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิมของผู้ถือหุ้นที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิแต่ละรายนั้นทุกรอบไป (การเสนอขายหุ้น PPO)

ในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้นในรอบแรกในจำนวนมากกว่าหรือเท่ากับจำนวนหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นเดิมจองซื้อเกินกว่าสิทธิ บริษัทฯ จะจัดสรรหุ้นที่เหลือดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นที่จองซื้อหุ้นเกินกว่าสิทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิมและได้ชำระค่าจองซื้อหุ้นครบถ้วนตามจำนวนที่แสดงความจำนงจองซื้อเกินกว่าสิทธิทั้งหมดทุกราย ทั้งนี้ บริษัทฯ จะจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิจนกว่าไม่มีหุ้นเหลือจากการจัดสรร

กรณีการจองซื้อหุ้นสามัญที่ออกใหม่ในการเสนอขายหุ้น PPO นี้ ส่งผลให้ผู้จองซื้อรายใดถือหุ้นถึงหรือข้ามจุดที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ ผู้จองซื้อมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับราคาเสนอขายหุ้น PPO ให้คำนวณจากราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทในช่วงเวลาตั้งแต่ 7-15 วันที่มีการซื้อขายติดต่อกันก่อนวันกำหนดราคาเสนอขายหุ้น PPO หักด้วยส่วนลดจำนวนไม่เกิน 25% ของราคาตลาด ส่วนวันจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้น บริษัทจะกำหนดในภายหลัง โดยบริษัทจะประกาศราคาเสนอขายหุ้น PPO พร้อมทั้งอัตราส่วนการเสนอขายสำหรับการเสนอขายหุ้น PPO ก่อนวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Record Date) ภายในเดือนธันวาคม 2564 - กุมภาพันธ์ 2565

บริษัทคาดว่าจะมีมูลค่าการเสนอขายหุ้น PPO รวมทั้งสิ้นประมาณ 30,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของบริษัททั้งในและต่างประเทศ ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมถึงการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย การชำระหนี้ของบริษัท และเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั่วไป รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนในกิจการของบริษัท

โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมทั้งได้รับเงินจากการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวภายในไม่เกินเดือนมีนาคม 2565

ซึ่งก่อนที่จะมีการประกาศการเพิ่มทุนบริษัทฯ ทางบริษัทฯ ได้ประกาศว่า บริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) คอเปอร์เรชั่น จำกัด (RHIS) บริษัทย่อยทางอ้อม ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญของกลุ่มบริษัทที่ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าพลังความร้อน โดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 2,045 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ Paiton Power Generation Complex ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าอินโดนีเซีย (PT Perusahaan Negara : PLN) คงเหลืออีก 21 ปี

ซึ่งจะทำให้ RHIS เป็นผู้ถือหุ้น 45.51% ในกิจการโรงไฟฟ้า และ 65% ในธุรกิจเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า คาดว่าการลงทุนจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม 2565

ในปีนี้บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยการเข้าลงทุนใน 5 บริษัท ตั้งแต่เดือนมกราคม ได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (BAFS) ในสัดส่วน 15.53% เงินลงทุนประมาณ 2.7 ล้านบาท ซึ่ง BAFS ได้มีการขยายธุรกิจโดยการเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด เดือนพฤษภาคม ได้เข้าซื้อหุ้น Nexif Energy BT Pte Ltd ผ่าน RHIS ในสัดส่วน 50% เงินลงทุนประมาณ 272.58 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Nexif Energy Ben Tre ในเวียดนาม กำลังการผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ และเข้าซื้อหุ้น บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ในสัดส่วน 10% เงินลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจให้บริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นการขยายไลน์ธุรกิจไปธุรกิจอื่นมากขึ้นนอกเหนือจากธุรกิจหลัก และเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา RHIS ก็เข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ในอินโดนีเซีย

จะเห็นได้ว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา RATCH มีการขยายการลงทุนจำนวนมาก ทั้งในธุรกิจหลักคือไฟฟ้า และธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ไฟฟ้า เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทมากขึ้น และเป็นการลดในธุรกิจที่มีการเติบโตสูงในภาวะวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากนี้กระบวนการเพิ่มทุนจะเริ่มต้นขึ้นเพื่อให้ฐานทางการเงินของบริษัทฯ แข็งแกร่งมากขึ้น จึงเชื่อได้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ และปีต่อ ๆ ไป บริษัทฯ จะมีการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในธุรกิจหลักและธุรกิจสาธารณูปโภค เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้