สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

Last updated: 28 ก.ย. 2565  |  456 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

ปี 2565 สกนช. ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ พยุงราคาน้ำมันกู้วิกฤต

สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) สรุปผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในรอบปี 2565 ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ช่วยพยุงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร ส่งผลต่อฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบกว่า 1.2 แสนล้านบาท

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการ สกนช. เปิดเผยว่า ในรอบปี 2565 ที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันฯ ได้ดูแลเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในช่วงเกิดวิกฤตด้านพลังงานนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงฤดูหนาว จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้องใช้กลไกจากกองทุนน้ำมันฯ ในการอุดหนุนราคาโดยเฉพาะน้ำมันดีเซล

โดยผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ ราคาอยู่ระดับเกินกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา โดยราคาดีเซล (Gas Oil) ตลาดโลกปัจจุบันเดือนกันยายน 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 131.05 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกันยายนปีที่แล้วถึง 58% ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 82.92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีน้ำมันเริ่มติดลบตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 โดยติดลบ 82,674 ล้านบาท ขณะที่บัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) มีฐานะติดลบมาต่อเนื่องอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการตรึงราคาก๊าซหุงต้มไว้ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มาต่อเนื่องยาวนาน ขณะที่ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกสูงกว่ามาก

ทั้งนี้ ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ วันที่ 25 กันยายน 2565 ติดลบ 124,216 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 82,674 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 42,542 ล้านบาท โดยที่มีเงินช่วยเหลือด้านราคาก๊าซจากกลุ่ม ปตท. เข้ามาในกองทุนน้ำมันฯ 1,000 ล้านบาท

สำหรับการบริหารจัดการของกองทุนน้ำมันฯ ด้านราคาพลังงาน ในปีนี้มีการปรับราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเริ่มทยอยปรับขึ้นครั้งแรก 1 พฤษภาคม 2565 ที่ราคา 32 บาทต่อลิตร และปัจจุบันอยู่ที่ 34.94 บาทต่อลิตร ส่วนราคา LPG หลังจากที่ตรึงไว้ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ก็ได้ทยอยปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 โดยปรับขึ้นครั้งแรกเป็น 333 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม และปัจจุบันอยู่ที่ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม

สกนช. ได้ปรับแผนวิกฤตด้านน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน โดยปรับครั้งที่ 1 การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้ (จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท) แล้วต้องไม่เกินจำนวน 40,000 ล้านบาท ตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562

การปรับครั้งที่ 2 กรณีฐานะกองทุนน้ำมันฯ ใกล้ติดลบหากระดับราคายังอยู่ในระดับวิกฤต ส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบ ตามมาตรา 26 วรรคสอง หรือวรรคสาม แห่งพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะเมื่อใกล้วงเงินกู้ยืมเงินที่ได้รับตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว ให้เริ่มดำเนินการพิจารณากลยุทธ์การถอนกองทุนน้ำมันฯ โดยปรับสัดส่วนการช่วยเหลือลงครึ่งหนึ่ง และยังคงดำเนินการหารือเรื่องการปรับลดภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ระดับราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก และเริ่มดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่ขาดสภาพคล่อง รวมทั้งยังมีการขยายกรอบวงเงินกู้จาก 20,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการขอขยายกรอบวงเงินกู้เป็น 150,000 ล้านบาท

ในส่วนของการดำเนินการในบทเฉพาะการตามมาตรา 55 แห่ง พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 นั้น สกนช. ได้ขยายเวลาจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี ครบกำหนดวันที่ 24 กันยายน 2567 เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดความผันผวนด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและเศรษฐกิจที่ถดถอยเกิดผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้ จึงได้มีการขยายเวลาออกไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้