บ้านปู จำกัด (มหาชน)

Last updated: 15 ส.ค. 2567  |  597 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บ้านปู จำกัด (มหาชน)

บ้านปู เดินหน้าลดการปล่อย Co2

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของบ้านปู ยังมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยกระดับการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งจัดสรรงบประมาณการลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว ผ่านกลยุทธ์ 3D ประกอบด้วย Decentralization, Digitalization และ Decarbonization

โดยในส่วนของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) ในสหรัฐฯ ที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas: CSG) ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งใน Scope 1, 2 และ 3 ในขณะเดียวกัน ยังผลักดันการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ยกระดับการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ (Digitalization) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบนิเวศภายในบ้านปู รวมทั้งมีการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายโอกาสด้านการขายและการตลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานในอินโดนีเซีย และสหรัฐฯ (Decentralization)

บ้านปู ยังมีการดำเนินโครงการ Ponder Solar โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ในแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส มีกำหนดเดินเครื่องดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2567 โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ BKV Corporation (BKV) จะบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 2 จากธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำในธุรกิจก๊าซฯ ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของและดำเนินการเอง ทั้งนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของ BKV จะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม ลดการพึ่งพาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอก และใช้พลังงานที่ผลิตเองจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2567 ว่า มีรายได้จากการขายรวม 2,441 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 88,425 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 23,547 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,489 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกดีขึ้นมาจากการการเพิ่ม Cash Flow โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและมาตรการควบคุมต้นทุนการผลิตในเหมืองถ่านหิน และแหล่งก๊าซธรรมชาติ มีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II ที่สหรัฐฯ การลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) ในสหรัฐฯ ที่เริ่มมีรายได้เข้ามา และ BKV Corporation (BKV) บริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ ได้ขายสินทรัพย์ในธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำบางส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในแหล่งก๊าซธรรมชาติมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 132 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน มุ่งควบคุมประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด โดยตั้งเป้าลดต้นทุนในธุรกิจเหมืองที่ 1.5-3.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และในธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ 0.06-0.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อพันลูกบาศก์ฟุต ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ BKV ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายก๊าซฯ ที่มีคาร์บอนเป็นกลางกับ ENGIE Energy Marketing NA, Inc. และ Kiewit Infrastructure South Co. โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้มาพร้อมกับก๊าซฯ ที่มีคาร์บอนเป็นกลางของ BKV มาจากการดำเนินโครงการ CCUS และเมื่อได้รับการรับรองจาก American Carbon Registry แล้ว คาดว่าจะสามารถส่งมอบก๊าซฯ ดังกล่าวได้ภายในสิ้นปี 2567

กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน ยังคงสร้างผลกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าก๊าซฯ Temple I และ II ในสหรัฐฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ Temple II ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ในครึ่งแรกของปี 2567 ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ได้ลงนามสัญญาใหม่เพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับพันธมิตรในประเทศไทยในหลากหลายอุตสาหกรรม กำลังผลิตรวม 1.9 เมกะวัตต์ และมีกำลังผลิตที่ดำเนินการแล้วเพิ่มขึ้น 4.1 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 100 เมกะวัตต์ มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ในอินโดนีเซีย จำนวน 10 เมกะวัตต์ ธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เริ่มเดินหน้าสายการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของโรงงาน SVOLT Thailand และส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ชุดแรกให้กับผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดในไทย การก่อสร้างโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) ในญี่ปุ่น มีความคืบหน้าตามแผนถึง 97% ธุรกิจอีโมบิลิตี้ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ได้เข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและเดินหน้าขยายเส้นทางการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ให้บริการรับส่งแล้วมากกว่า 13 ล้านเที่ยว ธุรกิจการบริหารจัดการพลังงาน ขยายระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางในเฟส 2 ของศูนย์ราช
การเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี และยังได้ลงนามในสัญญาบริการจำนวน 25 สัญญา ให้แก่ SB Design Square ในจังหวัดภูเก็ตด้วย นอกจากนั้น หน่วยงาน Corporate Venture Capital ยังได้เข้าลงทุนใน enspired ผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการซื้อ-ขายพลังงานไฟฟ้า เป็นระบบข้อมูลที่มีการซื้อ-ขายเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มและระบบอัตโนมัติที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับการดำเนินงานในธุรกิจแบตเตอรี่และการซื้อขายพลังงานของบ้านปู เน็กซ์

ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปีนี้ เนื่องจากราคาถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาถ่านหินล่าสุดอยู่ที่ 150 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 135 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จากการเข้าสู่ฤดูหนาว ประกอบกับซัพพลายก๊าซฯ ในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคาก๊าซฯ ปรับตัวสูงขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู โดยตั้งเป้ายอดขายถ่านหินปีนี้ที่ 40.8 ล้านตัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้