สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

Last updated: 17 มิ.ย. 2568  |  642 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

เปิดผลทดสอบซื้อขายไฟฟ้ากันเอง (Peer-to-Peer) ที่จุฬาฯ ด้านเทคนิคทำได้จริง เพิ่มความมั่นใจรัฐก่อนตัดสินใจขยายผล

ภาคการผลิตไฟฟ้ากำลังของไทยกำลังอยู่ในยุคแห่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของสภาวะโลกร้อน สอดรับกับเทรนด์ของโลกและเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ โดยหนึ่งในพลังงานสะอาดที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมและกำลังได้รับความนิยมจากประชาชน คือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป เพราะมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนมากขึ้นและช่วยลดรายจ่ายด้านไฟฟ้าในแต่ละเดือน

โดยแนวโน้มในอนาคตที่เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มีต้นทุนต่ำลงเรื่อยๆ ภาครัฐมองว่าผู้ใช้ไฟฟ้าของไทยจะผันตัวเองมาเป็นทั้งผู้ใช้และผู้ผลิต (Prosumer) เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทางยุโรป ที่ไปไกลถึงขั้นผลิตและขายผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองโดยใช้ระบบสายจำหน่ายของรัฐ หรือที่เรียกว่า Peer-t-Peer ทำให้รัฐต้องเตรียมความพร้อมปรับตัวรับมือให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จึงเกิดโครงการ Peer-to-Peer ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่อยู่ภายใต้นโยบาย ERC Sandbox ของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ที่กำหนดให้การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันอยู่พื้นที่เฉพาะ โดย สำนักงาน กกพ. จะผ่อนปรนกฎระเบียบที่จำเป็นและมีการแก้ไขให้เป็นการชั่วคราว เพื่อดำเนินการทดสอบระบบว่าสามารถทำได้จริงหรือมีปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องเรื่องใดซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐมีความมั่นใจหากต้องมีการขยายผลโครงการในอนาคต

โครงการ Peer-to-Peer ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีที่ใช้ในการประกอบกิจการไฟฟ้า ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ตามมาตรา 97(4) ของ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 โดยในการดำเนินโครงการนั้นได้ทดลองซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาของอาคารที่ถูกคัดเลือกไว้จำนวน 6 แห่ง ภายในมหาวิทยาลัย กำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันประมาณ 8 เมกะวัตต์ ที่เรียกให้เป็นฝั่งของผู้ขาย และคัดเลือกอาคารอีก 10 แห่งที่ไม่ได้มีการติดตั้งระบบให้เป็นฝั่งของผู้ซื้อ ซึ่งการส่งกระแสไฟฟ้าเชื่อมผ่านระหว่างอาคารนั้นมีบางส่วนที่ต้องเชื่อมต่อเข้ากับระบบสายส่งจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่ถูกเชิญให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ด้วย โดยทาง สำนักงาน กกพ. มีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์ชั่วคราวให้สามารถมีไฟฟ้าไหลย้อนจากโครงการเข้าสู่ระบบของ กฟน. ได้ รวมทั้งมีการกำหนดอัตราบริการโครงข่ายของการไฟฟ้าหรือ Wheeling Charges เป็นการเฉพาะเพื่อคิดรวมเข้าไปในค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายภายใต้โครงการนี้ด้วย


Solar Rooftop บนอาคารภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดยการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างอาคารนั้น ได้ใช้แพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยคณาจารย์และนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งอาคารที่ถูกคัดเลือกร่วมโครงการ จะมีหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ซึ่งฝั่งผู้ขายจะเสนอปริมาณไฟฟ้าและราคาที่เข้ามาในแพลตฟอร์มซึ่งต้องแข่งขันราคากันกับอาคารอื่นๆ ในขณะที่อาคารฝั่งผู้ซื้อจะแจ้งปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการใช้และตัดสินใจเลือกซื้อไฟฟ้าจากอาคารที่เห็นว่าเสนอราคาต่ำสุด โดยในช่วงระยะเวลา 2 เดือนของการทดลองซื้อขายไฟฟ้ากันนั้น ราคาไฟฟ้าที่เสนอขายต่ำสุดเมื่อบวกรวมอัตรา Wheeling Charges แล้วอยู่ที่ประมาณ 2 บาทกว่าๆ ต่อหน่วย ส่วนที่เสนอราคาสูงสุดจะอยู่ที่ 4 บาทกว่าๆ - 5 บาท ต่อหน่วย


ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to- Peer ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ภาพรวมมูลค่าการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ผู้รับผิดชอบโครงการ สรุปถึงผลการทดลองซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer ว่า ในช่วงที่มีการทดลองซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันที่ต้องเชื่อมต่อกับระบบสายจำหน่ายของ กฟน. นั้น พบว่า ไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่เกิดปัญหาแรงดันเกินหรือแรงดันตกในระบบของ กฟน. ทำให้เห็นว่าความกังวลเรื่องปัญหาของกระแสไฟฟ้าไหลย้อนกลับไม่ใช่อุปสรรคใหญ่ในการทำ Peer-to-Peer โดยเฉพาะพื้นที่ที่การผลิตและการใช้ไฟฟ้าค่อนข้างจะสมดุลกัน

พร้อมชี้ให้เห็นด้วยว่า โครงการ Peer-to-Peer ของจุฬาฯ มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐหากมีนโยบายที่จะขยายผลไปสู่การเปิดเสรีไฟฟ้าในอนาคต ในกรณีที่ผู้ผลิตไฟฟ้ามีลูกค้าที่ต้องการซื้อไฟฟ้าสะอาดที่ตัวเองผลิตได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องขายไฟฟ้าส่วนเกินเข้าระบบของการไฟฟ้าเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนของไฟฟ้าสีเขียวให้กับประเทศไทยได้ ในขณะที่หากต้องการให้มีตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้มีการแข่งขันด้านราคากันนั้น ในส่วนของแพลตฟอร์มที่ทางจุฬาฯ พัฒนาขึ้นมาก็ตอบโจทย์ว่าสามารถทำได้จริง


รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดังนั้น Peer-to-Peer ที่ดำเนินการโดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นก้าวแรกสำหรับการทดลองซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันว่า สามารถทำได้จริงในทางเทคนิค โดยเหมาะสมกับพื้นที่เขตเมืองที่ผู้ผลิตและผู้ใช้อยู่ในบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามหากรัฐต้องการที่จะขยายผลโครงการ Peer-to-Peer ไปสู่วงกว้างมากขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคสำหรับเชื่อมต่อกับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าใช้บริการโครงข่าย หรือ Wheeling Charges ให้เหมาะสมเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ รวมทั้งต้องประเมินผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศในภาพรวมด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะต่างๆ ของเรื่อง Peer-to-Peer นั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการรวบรวมเป็นรายงานฉบับเต็ม และจัดส่งให้กับ สำนักงาน กกพ. แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ สำนักงาน กกพ. มีความมั่นใจที่จะนำเสนอให้ฝ่ายนโยบายพิจารณาต่อไป

** คำว่า Prosumer มาจากคำว่า Producer ที่แปลว่า ผู้ผลิต รวมกับ Consumer ที่แปลว่า ผู้บริโภค เอา 2 คำนี้มารวมกันเป็น Prosumer กลายเป็นศัพท์ใหม่ที่หมายถึง ผู้ที่ทั้งใช้ไฟฟ้า (เป็นผู้บริโภค) และสามารถผลิตไฟฟ้า (เป็นผู้ผลิต) ได้เอง


#กกพ #กองทุนพัฒนาไฟฟ้า #พลังงานสะอาด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้