Last updated: 6 พ.ย. 2568 | 67 จำนวนผู้เข้าชม |
บางจากฯ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568
EBITDA โตเท่าตัว จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้น และแนวโน้มไตรมาส 4 เติบโตแข็งแกร่ง
คงอันดับเครดิต A+ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
กลุ่มบริษัทบางจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะตลาดพลังงานที่ยังคงผันผวน มีรายได้จากการขายและให้บริการ 123,305 ล้านบาท EBITDA 10,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 3,186 ล้านบาท มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 1,108 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.80 บาท
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ของกลุ่มบริษัทบางจาก ที่สะท้อนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากทั้งโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงและโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา ซึ่งมีค่าการกลั่นพื้นฐานขึ้นเป็น 7.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก Crack Spread ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลง ในไตรมาสนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้คงอันดับเครดิตองค์กรของบางจากฯ ไว้ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สะท้อนความแข็งแกร่งของสถานะทางธุรกิจและโครงสร้างการเงิน โดยแนวโน้มไตรมาส 4 มีทิศทางที่ดีขึ้นมาก ภายหลังการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ประกอบกับ GRM และยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทบางจากได้เปิดใช้ท่าเรือรับเรือบรรทุกน้ำมันดิบขนาดใหญ่มาก (Very Large Crude Carrier: VLCC) ณ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา จังหวัดชลบุรี อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการจัดหาและขนส่งน้ำมันดิบ ตลอดจนยกระดับความสามารถการแข่งขันของกลุ่มบริษัทฯ รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมยังมีบทบาทในการสร้างรายได้และโอกาสในการเติบโตที่สำคัญของบริษัทฯ ซึ่งช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางธุรกิจ สนับสนุนการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายให้มีความสมดุลยิ่งขึ้น ส่วนกระบวนการเพิกถอนหลักทรัพย์ของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) อยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer)
นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญในไตรมาส 3 ของปี 2568 ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้
กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มีรายได้ 99,851 ล้านบาท และมี EBITDA 2,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงปีก่อน จากค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก 4.45 เหรียญในไตรมาสก่อน ตามการปรับตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่ม Middle Distillates ได้แก่ น้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน ซึ่งขยายตัวจากข้อจำกัดด้านอุปทานในตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงและส่วนต่างราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ต่ำกว่าน้ำมันดิบดูไบ (DTD-DB) ส่งผลให้ค่าการกลั่นโดยรวมปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาสก่อนหน้า ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของกลุ่มธุรกิจนี้
กลุ่มธุรกิจการตลาด มีรายได้ 88,200 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 7 จากปีก่อน แต่สามารถสร้าง EBITDA ได้ 1,629 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดร้อยละ 38 จากไตรมาสก่อน และมากกว่าร้อยละ 100 จากปีก่อน จากค่าการตลาดสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.85 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับมาร์จิ้นที่สูงขึ้นของน้ำมันเรือเดินสมุทร (Marine Fuels) และการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นผ่านช่องทางที่มีค่าการตลาดสูง
บางจากฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกไว้ได้ที่ร้อยละ 29 พร้อมเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายค้าปลีกและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Greenovative Destination for Intergeneration” โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีสถานีบริการน้ำมันรวม 2,173 แห่ง จุดชาร์จ EV 502 แห่ง และร้านกาแฟอินทนิลกว่า 1,108 สาขาทั่วประเทศ
กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีรายได้ 1,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 1,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 23 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว จากปริมาณน้ำที่มากขึ้นตามฤดูกาล รวมถึงการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้งโครงการของโรงไฟฟ้าพลังงานลมใน สปป.ลาวในช่วงไตรมาสนี้ นอกจากนี้ยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 757 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งจากค่าความพร้อมจ่าย (Capacity Revenue) และปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในฤดูร้อนของสหรัฐฯ
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีรายได้ 4,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 78 จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเอทานอลจากการเดินเครื่องผลิตในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ส่วนไบโอดีเซล (B100) ได้รับแรงหนุนจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามทิศทางราคาน้ำมันปาล์มดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับการบริหารต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีรายได้ 7,056 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 26 จากปีก่อน และมี EBITDA 4,039 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 40 จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการผลิตที่สูงกว่าประมาณการ และปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากการเริ่มผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของหลุมผลิต Sognefjord East ในแหล่งผลิต Brage ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของราคาตลาดโลก ทั้งนี้ แม้จะมีการรับรู้ผลขาดทุนจากรายการด้อยค่าจากการปรับลดปริมาณสำรองและราคาน้ำมันคาดการณ์ล่วงหน้า (Forward Price) แต่ OKEA ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 กลุ่มบริษัทบางจากมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 383,780 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 26,600 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 แต่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) อยู่ที่ 6,184 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันได้รับผลกระทบจาก Inventory Loss ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ค่าการกลั่นพื้นฐานเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลง และส่วนต่างราคาน้ำมันดิบเบรนท์-ดูไบที่ปรับลดลง เอื้อต่อการผลิตของกลุ่มบริษัทบางจาก
กลุ่มธุรกิจการตลาดยังคงมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในตลาดอุตสาหกรรม แม้ค่าการตลาดสุทธิอ่อนตัวลง ส่วนกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาดมีกำไรลดลงจากการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ และการขายโครงการในญี่ปุ่น แต่ได้รับการชดเชยจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังคงรักษากำไรได้จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มทรัพยากรธรรมชาติได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันเฉลี่ยและปริมาณขายที่ลดลงหลังการขายแหล่งผลิต Yme ปลายปีก่อน ทั้งนี้ ในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 663 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.48 บาท
ด้านสรุปฐานะการเงิน กลุ่มบริษัทบางจากมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 27,248 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 307,306 ล้านบาท หนี้สินรวม 224,331 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 82,975 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทใหญ่ 57,996 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 1.12 เท่า
6 พ.ย. 2568
6 พ.ย. 2568
6 พ.ย. 2568
5 พ.ย. 2568