สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

Last updated: 27 พ.ย. 2568  |  82 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

สำนักงาน กกพ. เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ภาคใต้ต่อเนื่อง ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าแจ้งหยุดเดินระบบเพิ่ม รวม 13 ราย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) รายงานสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการพลังงานในจังหวัดสงขลา ยะลา และปัตตานี โดยทั้งหมดอยู่ในพื้นที่กำกับดูแลของสำนักงาน กกพ. เขต 12 จังหวัดสงขลา (สข.12) ที่ยังคงพบจุดน้ำท่วมกระจายในหลายอำเภอ ส่งผลให้ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าบางแห่งจำเป็นต้องหยุดเดินระบบชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย สข.12 จึงยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบและสนับสนุนการบริหารเหตุฉุกเฉินด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ภายหลังฝนตกสะสมต่อเนื่องและสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าได้แจ้งหยุดประกอบกิจการเพิ่มเติมอีก 5 ราย ได้แก่ (1) บจก.กรีเอ็นเนอร์จี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กำลังการผลิต 9.600 เมกะวัตต์ (2) บจก.อีโคเจนเนอเรชั่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กำลังการผลิต 4.800 เมกะวัตต์ (3) บจก.ยะลากรีนเอ็นเนอร์ยี่ อ.เมือง จ.ยะลา กำลังการผลิต 9.900 เมกะวัตต์ (4) บจก.ปัตตานีมุ่งพัฒนาไบโอแก๊ส อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กำลังการผลิต 2.992 เมกะวัตต์ และ (5) บจก.ปาล์มพัฒนาไบโอแก๊ส อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กำลังการผลิต 2.134 เมกะวัตต์ ทำให้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการแจ้งหยุดประกอบกิจการเนื่องจากน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 11 ราย

ต่อมา ณ เวลา 13.10 น. ของวันนี้ (27 พฤศจิกายน 2568) สข.12 รายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าแจ้งปลดระบบรวมแล้วทั้งสิ้น 13 ราย คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,635.776 เมกะวัตต์ โดย สข.12 อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเหตุขัดข้องจากผู้ประกอบการเพื่อรายงานต่อสำนักงาน กกพ. ส่วนกลางตามขั้นตอนบริหารเหตุฉุกเฉินด้านพลังงาน

ทั้งนี้ สามารถสรุปผู้ประกอบการที่แจ้งหยุดเดินระบบรวม 13 ราย ได้ดังนี้

1. บริษัท กัลฟ์ จะนะ กรีน จำกัด จำนวน 25.000 เมกะวัตต์
2. บริษัท โกลบอลกรีนโฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 9.500 เมกะวัตต์
3. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (โรงไฟฟ้าจะนะ) จำนวน 710.000 เมกะวัตต์
4. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (โรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 2) จำนวน 804.100 เมกะวัตต์
5. บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 33.600 เมกะวัตต์
6. บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด (ใบอนุญาตขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ) จำนวน 0.000 เมกะวัตต์
7. บริษัท ซิมเพแทกซ์ โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 1.150 เมกะวัตต์
8. บริษัท กรีเอ็นเนอร์จี จำกัด จำนวน 9.600 เมกะวัตต์
9. บริษัท อีโคเจนเนอเรชั่น จำกัด จำนวน 4.800 เมกะวัตต์
10. บริษัท ดีโคโนเมธเนอร์จี้ จำกัด จำนวน 9.000 เมกะวัตต์
11. บริษัท ปัตตานีมุ่งพัฒนาไบโอแก๊ส จำกัด จำนวน 2.992 เมกะวัตต์
12 บริษัท ปาล์มพัฒนาไบโอแก๊ส จำกัด จำนวน 2.134 เมกะวัตต์
13 บริษัท ยะลากรีนเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด จำนวน 9.900 เมกะวัตต์

รวมทั้งหมดจำนวน 1,635.776 เมกะวัตต์

ในส่วนของมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน สำนักงาน กกพ. ได้รับแจ้งจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ว่า จะขยายระยะเวลาชำระค่าไฟฟ้าประจำเดือนพฤศจิกายนจากเดิม 10 วันเป็น 20 วัน
เพื่อผ่อนภาระให้ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่น้ำท่วม ทั้งนี้ การขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้าจะเป็นอำนาจพิจารณาของผู้จัดการการไฟฟ้าสาขาในแต่ละพื้นที่

ดร.พูลพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้หลายพื้นที่ยังคงอยู่ในระดับเฝ้าระวัง แต่ระบบไฟฟ้าภาคใต้โดยรวมยังมีเสถียรภาพ หน่วยงานในพื้นที่และส่วนกลางได้ยกระดับความพร้อมเต็มกำลัง ทั้งด้านระบบไฟฟ้า ระบบก๊าซธรรมชาติ และการบริหารเชื้อเพลิงสำรอง เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างปลอดภัยที่สุด”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้