ราช กรุ๊ป ปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน 20%

Last updated: 26 เม.ย 2563  |  522 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ราช กรุ๊ป ปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน 20%

ราช กรุ๊ป ปรับพอร์ตการลงทุนเพิ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน 20%


บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ขยายฐานการเติบโตธุรกิจระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน รองรับโอกาสการลงทุนภายในประเทศจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ โดยคาดหมายว่าการลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในปี 2566 จะอยู่ที่ 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ส่วนธุรกิจไฟฟ้ายังเป็นธุรกิจหลัก

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ โดยจะขยายฐานการเติบโตจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าไปยังระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยตั้งเป้าจะลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพื่อรองรับโอกาสการลงทุนภายในประเทศจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยบริษัทยังคงกำหนดให้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักอยู่ที่ประมาณ 80%

โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้ายังถือเป็นธุรกิจหลักที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งองค์กร บริษัทยังคงแสวงหาการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน และฟิลิปปินส์ ตามแผนการลงทุนปี 2562 คาดว่าจะมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และขนาดเล็กในไทย 2 โครงการ อีกทั้งยังมีอีก 6 โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดและเจรจาการร่วมทุนกับพันธมิตรในต่างประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป. ลาว และเวียดนาม

ส่วนธุรกิจระบบสาธารณูปโภค บริษัทให้ความสนใจกับกลุ่มพันธมิตรเดิมคือ BSR ในการเข้าลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่จะออกประมูล โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม และแดงอ่อน อยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะที่ในส่วนของถนนมอเตอร์เวย์ ที่ในอนาคตรัฐบาลมีแผนลงทุนรวมประมาณ 6,000 กิโลเมตร ก็ทำให้เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน ซึ่งในระยะสั้นให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลงานดำเนินงานและบำรุงรักษา โครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) รวมทั้งให้ความสนใจลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และโทรคมนาคม และการจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม ตลอดจนการจัดการด้านพลังงาน ปัจจุบันกำลังเจรจากับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างในนิคมอุสาหกรรมนวนคร

โดยแผนงานในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1-2 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในมือ และการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนใหม่ ที่มีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือปีละ 700 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่มีอยู่และจะทยอยหมดอายุ โดยปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (ไอพีพี) ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงภาคตะวันตก ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ ปี 2561-2580 (PDP2018) ตั้งอยู่ใน จ.ราชบุรี 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 1,400 เมกะวัตต์ เพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2567-2568 คาดว่าจะอยู่ภายใต้ชื่อโรงไฟฟ้าหินกอง 1 และ 2 คาดว่าจะมีมูลค่าลงทุนราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5 แสนเหรียญสหรัฐ/เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และเจรจากับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อซื้อก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้านี้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/62 โดยการที่บริษัทจำเป็นต้องหาพันธมิตรร่วมโครงการเนื่องจากต้องการหาพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งและสามารถ Synergy ด้านอื่นๆ ร่วมกันในอนาคต ซึ่งพันธมิตรดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจไฟฟ้าและเชื้อเพลิง

ขณะเดียวกันบริษัทยังมองโอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเติม จากตามแผนพีดีพี 2018 ที่จะเปิดให้ กฟผ.มีโอกาสสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนและโรงไฟฟ้าใหม่รวมประมาณ 8 โรง ซึ่งบริษัทก็อยู่ระหว่างเจรจากับ กฟผ.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการลงทุนดังกล่าวด้วย ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ และยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจ่ายไฟฟ้ากลับมาในไทยด้วย

ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือตามสัดส่วนร่วมทุน 7,526.86 เมกะวัตต์ ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว ออสเตรเลีย จีน และอินโดนีเซีย โดยเป็นโครงการที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 6,860.34 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งในปีนี้จะมีโรงไฟ้า 3 แห่งที่จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้ รวมกำลังผลิตติดตั้งตามการถือหุ้นรวม 179.73 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คอลลินส์วิลล์ ออสเตรเลีย ที่เริ่มผลิตแล้ว โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น จะเริ่มผลิตในเดือนมิ.ย.62 และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ในลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปี 62

บริษัทวางเป้าหมายในปี 2566 จะมีมูลค่ากิจการรวม 2 แสนล้านบาท และมีกำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนร่วมทุนรวม 10,000 เมกะวัตต์เทียบเท่า โดยพอร์ตการลงทุน 80% จะมาจากการผลิตไฟฟ้าและพลังงาน ส่วนอีก 20% จะมาจากระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยมีสัดส่วนรายได้ที่เป็นสกุลเงินบาท 50% และสกุลเงินต่างประเทศ 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 73% กับ 27% ตามลำดับ

โดยการที่บริษัทวางพอร์ตการลงทุนสำหรับระบบสาธารณูปโภคในระดับดังกล่าว เพราะมองโอกาสระยะยาวที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring income) ให้กับบริษัท หลังในระยะสั้นโอกาสเกิดโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศมีค่อนข้างจำกัด ขณะที่แผนยุทธศาสตร์ของชาติ มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยปัจจุบันบริษัทมีการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว โดยการร่วมกับพันธมิตรในนามกลุ่ม BSR ที่มีผู้ร่วมทุน คือ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู รวมถึงร่วมกับ บริษัท เอแอลที เทเลคอม (ALT) ในโครงการโครงข่ายสายใยแก้วนำแสงใต้ดินในไทยและมองโอกาสที่จะขยายไปยังลาวด้วย และร่วมกับพันธมิตรในลาว ทำโครงการผลิตน้ำประปาแสนดินในลาว

ด้านนางวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน ของ RATCH คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะเติบโตกว่าระดับ 5.59 พันล้านบาทในปีที่แล้ว หลังในไตรมาสแรกสามารถทำกำไรสุทธิได้แล้ว 1.74 พันล้านบาท และในช่วงที่เหลือของปีนี้กำไรยังดีต่อเนื่องจากการรับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ในมือที่จะทยอยเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ 3 แห่งในปีนี้ และการเข้าร่วมลงทุนหรือซื้อกิจการ ในโครงการใหม่ทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งจะมีทั้งโครงการที่เดินเครื่องผลิตแล้ว และโครงการที่ยังไม่ได้เริ่มพัฒนา

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้