บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)

Last updated: 13 ส.ค. 2563  |  1099 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)

บ้านปู เพาเวอร์ ฝ่าวิกฤติโควิด-19 รักษาธุรกิจเติบโตในครึ่งปีแรก

นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ 2,829 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานรวม 2,222 ล้านบาท เป็นผลมาจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าทุกแห่งที่สามารถรักษาเสถียรภาพในการจ่ายไฟและตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความท้าทายจากวิกฤติการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิ 1,655.8 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,394.49 ล้านบาท

ในครึ่งแรกของปี 2563 แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจ แต่บ้านปู เพาเวอร์ ยังสามารถรักษาการเติบโตของธุรกิจไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยระบบการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษากระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากรายได้จากปริมาณขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมในจีน และส่วนแบ่งกำไรที่มีเสถียรภาพจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีและโรงไฟฟ้าหงสา ขณะเดียวกันยังขยายพอร์ตการลงทุนให้ได้กำลังผลิตตามเป้าหมาย ซึ่งล่าสุดบ้านปู เพาเวอร์ มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอีกจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังกระบวนการซื้อขายเสร็จสิ้น

เมื่อผนวกกับยุทธศาสตร์การสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่องจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในหลากหลายประเทศที่มีศักยภาพ ประกอบกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าในแผนให้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนด เชื่อว่าบ้านปู เพาเวอร์ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างมั่นคง

ส่วนไตรมาสที่ 2 มีกำไรสุทธิ 680.45 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,140 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่ง ในจีน จำนวน 1,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน เป็นผลมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำในเขตพื้นที่ที่โรงไฟฟ้าตั้งอยู่ และจากการปรับตัวลงของราคาต้นทุนถ่านหินในจีน ทำให้บริษัทสามารถรักษากำไรขั้นต้นที่ 12% ได้ โดยราคาต้นทุนถ่านหินเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 540 หยวนต่อตัน ลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้าที่ราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่ 605 หยวนต่อตัน

บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจำนวน 806 ล้านบาท โดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราความพร้อมจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ 100% โดยรายงานส่วนแบ่งกำไรจำนวน 489 ล้านบาท ซึ่งได้รวมผลขาดทุนจากการแปลงค่าสกุลเงินแล้วจำนวน 120 ล้านบาท และผลบวกจากภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจำนวน 44 ล้านบาท ส่วนโรงไฟฟ้าหงสาหน่วยผลิตที่ 3 มีการหยุดเดินเครื่องในช่วงระหว่างปลายเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม ทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 407 ล้านบาท ซึ่งได้รวมผลขาดทุนจากการแปลงค่าสกุลเงินแล้ว

ส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงานภายใต้การลงทุนผ่าน บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ได้รายงานส่วนแบ่งขาดทุนจำนวน 90 ล้านบาท

บ้านปู เพาเวอร์ ยังเดินหน้าสู่การขยายกำลังผลิตให้ถึงเป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า โดยเน้นกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียน 800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568 ด้วยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในจีนและเวียดนามให้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามแผน รวมถึงการลงทุนเพิ่มในโรงไฟฟ้าที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันทีอย่างโรงไฟฟ้าพลังงานลมเอลวินหมุยยิน (El Wind Mui Dinh) ในจังหวัดนินห์ถ่วน ซึ่งมีรายได้แล้ว อีกทั้งยังเป็นทำเลที่เหมาะแก่การลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม

ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีโรงไฟฟ้า COD เพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าซานซีลู่กวงในจีน กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 396 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 2 แห่ง รวม 25 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา ระยะที่ 1 ในเวียดนาม กำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ จะเลื่อนไป COD ในไตรมาส 1/2564 เนื่องจากได้รับผลกระทบเรื่องการขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้างจากประเทศต้นทางจากสถานการณ์โควิด-19

ขณะเดียวกัน บ้านปู เพาเวอร์ ยังได้ร่วมกับธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติของบ้านปู เพื่อต่อยอดการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในอนาคต และเดินหน้าสร้างการเติบโตในพอร์ตพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงานผ่านบ้านปู เน็กซ์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้