Last updated: 4 มี.ค. 2564 | 603 จำนวนผู้เข้าชม |
เอ็กโก กรุ๊ป เตรียมงบลงทุนกว่า 150,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก กรุ๊ป ได้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 150,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2564-2568) เพื่อลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและการพัฒนา รวมถึงการลงทุนในโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยจะขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ด้วยการเน้นลงทุนใน Renewable Energy ซึ่งมีทิศทางที่กำลังเติบโตในทั่วโลก โดยตั้งเป้าจะเติบโตมากกว่า 25% ของกำลังการผลิตทั้งหมด จากปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 22.67% และการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 54.79% และการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน 22.54%
ปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 6,016 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 29 แห่ง กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 5,695 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 321 เมกะวัตต์ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหยุนหลิน ในไต้หวัน กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ จะทยอยผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไตรมาส 2 ปี 2564 ถึงไตรมาส 1 ปี 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ซึ่งคาดว่าจะ COD ไตรมาส 2 ปี 2565
นอกจากนี้ จะลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ประกอบด้วย LNG Value Chain, Smart Industrial Estate, Gas Processing & Liquefaction, Regasification, Fuel Pipeline & Transportation และ Other Infrastructure เนื่องจากธุรกิจก๊าซฯ มีการเติบโตสูงและมีโอกาสในการทำธุรกิจต่อเนื่องทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ จึงเป็นโอกาสที่จะลงทุนได้เพิ่มเติม ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐาน กำลังมองที่จะลงทุนในธุรกิจคมนาคม โดยมุ่งเน้นแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา เช่น โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีกำหนดเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 ปีนี้ โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ลักษณะ Smart and Green Industrial Estate ซึ่งได้ลงนามสัญญาร่วมดำเนินงานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนมกราคม 2564 มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการภายในปี 2565 การยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Shipper) ปริมาณ 200,000 ตันต่อปี เพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โครงการ Solar Solution Provider เพื่อให้บริการด้านผลิตภัณฑ์และระบบโซลาร์เซลล์ระดับพรีเมี่ยมอย่างครบวงจร โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ และโครงการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่ม กฟผ. ผ่านบริษัท EGAT Innovation Holding เพื่อทำธุรกิจที่เกี่ยวกับนวัตกรรมไฟฟ้าและธุรกิจ New S Curve
ในปี 2564 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนมากกว่า 37,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ในประเทศสหรัฐอเมริกา และโครงการอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งที่เป็นเชื้อเพลิงหลัก และพลังงานสะอาด โดยมีประเทศเป้าหมายในการลงทุนคือ ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 3-4 โครงการ อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนในปีนี้ไม่ได้รวมโครงการอื่นที่อาจจะเข้าไปซื้อเพิ่มเติม
สำหรับสัดส่วนการลงทุนและรายได้ในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็นต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากประเทศไทย 50.10% และต่างประเทศ 49.90% เนื่องจากหลังโควิด-19 หลายประเทศจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าของ เอ็กโก กรุ๊ป ส่วนใหญ่จะอยู่ในต่างประเทศ ก็จะทำให้มีรายได้จากในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานปี 2563 อุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในลักษณะเทคโนโลยีดิสรัปชัน แต่ เอ็กโก กรุ๊ป สามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจในสถานการณ์ New Normal ได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ใหม่และในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การเริ่มเดินเครื่องเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้ากังดง ในเกาหลีใต้ การลงทุนใหม่ในสหรัฐฯ
ล่าสุดประสบความสำเร็จในการลงทุนในโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน กำลังการผลิตติดตั้ง 972 เมกะวัตต์ ที่เมืองลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐฯ ซึ่งจะปิดดีลและรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาส 2 ปี 2564 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน เป็นสินทรัพย์คุณภาพ ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ดี ใกล้กับแหล่งจ่ายก๊าซฯ จึงทำให้มีต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำ รวมทั้งขายไฟฟ้าให้กับรัฐนิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์ก ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา และยังมีสัญญาขายไอน้ำและไฟฟ้าระยะยาวกับลูกค้ารายใหญ่ การลงทุนครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเอ็กโก กรุ๊ป ในการเปิดประตูสู่ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในอนาคต
ด้านผลประกอบการในปี 2563 เอ็กโก กรุ๊ป มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) จำนวน 8,738 ล้านบาท ลดลง 1,630 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ลดลงของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพาจู โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โรงไฟฟ้าเคซอน โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 และโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม
สำหรับปี 2564 คาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน โครงการโรงไฟฟ้าหยุนหลิน และโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ส่วนผลกระทบโครงการโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว เอ็กโก กรุ๊ป มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าเพียง 3% ซึ่งทาง EDL ยังมีการจ่ายเงินค่าไฟฟ้า และบางส่วนได้มีการจ่ายมาเป็นสกุลเงินกีบ ก็ได้มีการนำไปใช้ในการจ่ายค่าจ้างพนักงานท้องถิ่น และมีการหารือกับทาง EDL มาโดยตลอด จึงมีผลกระทบน้อยมาก
9 พ.ค. 2568
9 พ.ค. 2568
9 พ.ค. 2568
9 พ.ค. 2568