Last updated: 6 พ.ค. 2564 | 561 จำนวนผู้เข้าชม |
ปตท.สผ. คาดผลประกอบการไตรมาส 2 ดีขึ้น
นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 มีปริมาณการขายรวม 383,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการเรียกรับก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากแหล่งต่าง ๆ เช่น แหล่งบงกช และคอนเทร็ค 4 ในอ่าวไทย โครงการ Sabah ในประเทศมาเลเซีย ที่ประสบความสำเร็จในการผลิตก๊าซฯ ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และโครงการ บล็อก 61 ในประเทศโอมาน ที่สามารถปิดการซื้อขายได้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้สามารถรับรู้ปริมาณการขายเข้ามาในไตรมาส 1 ประมาณ 7 วัน
สำหรับปริมาณการขายเฉลี่ยทั้งปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 405,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน แต่ต้องติดตามการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากขนาดไหน ข้อตกลงของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะเป็นอย่างไร และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มความต้องการใช้พลังงานหรือไม่
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนต่อหน่วยในไตรมาสนี้เหลือ 27.96 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดีขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2563 ต้นทุนต่อหน่วย 30.95 เหรียญต่อบาร์เรล โดยในไตรมาส 1 ปีนี้ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง แต่มีกำไรจากรายการพิเศษที่ซื้อสัดส่วนการลงทุนในโอมานได้ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ซึ่งการลงทุนในบล็อก 61 ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก
สำหรับแหล่งในประเทศมาเลเซีย ก็มีการค้นพบปิโตรเลียม 2 แหล่ง คือ แหล่งโดกง และ SK405BC นอกเหนือจากแหล่งลังเลอบา หรือ SK 410B โดยแหล่งลังเลอบามีศักยภาพปิโตรเลียมมากกว่าที่ประเมินไว้ และเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดที่บริษัทฯ ได้ค้นพบ ส่วนแหล่ง Sabah มีการแก้ไขปัญหาในแหล่งได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสามารถเริ่มผลิตได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สำหรับการเปลี่ยนถ่ายในแหล่งเอราวัณ หรือ G1/61 ภาครัฐกำลังช่วยผลักดันเรื่องนี้อยู่ ส่วนในประเทศเมียนมา ปัจจุบันยังดำเนินการผลิตในระดับปกติ และจะผลิตต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะมีภาระผูกพันตามสัญญาที่มีกับรัฐบาลเมียนมา
ส่วนในประเทศโมซัมบิก ได้หยุดการก่อสร้างโครงการลงทุนไว้ชั่วคราว เพราะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น ขณะนี้กำลังประเมินผลกระทบว่าจะมีอย่างไร
สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 60 เหรียญ/บาร์เรล จากความเชื่อมั่นของตลาดที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนวัคซีนที่มีใช้มากขึ้นในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยออกมา และบางประเทศอาจจะผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อาจจะเปิดให้มีการเดินทางข้ามประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันอาจจะสูงขึ้น
ส่วนกำลังการผลิตกลุ่มโอเปคและพันธมิตร ยังเป็นไปอย่างเคร่งครัด การประชุมวันที่ 1 เม.ย. มีมติให้ทยอยลดกำลังการผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม สูงกว่าเดือนเมษายน ปริมาณ 2.15 ล้านบาร์เรล/วัน
ปี 2564 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์โควิด-19 การบังคับใช้มาตรการปิดประเทศ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายหรือไม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ การผลิตของกลุ่มประเทศโอเปค รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอิหร่านและเวเนซูเอล่า
ส่วนราคาก๊าซฯ ในไตรมาส 1 ปี 64 เฉลี่ยอยู่ที่ 9.69 เหรียญต่อล้านบีทียู โดยในเดือนมกราคม มีการปรับตังขึ้นสูงถึง 32.5 เหรียญต่อล้านบีทียู เพราะอากาศหนาวเย็นที่ภูมิภาคเอเชียเหนือ การขนส่งผ่านช่องแคบปานามาที่มีความแออัด และคงามกังวลในการหยุดผลิตของบริดจสโตน และกอร์ดอน ในประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา แต่ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ที่ผ่านมา ราคาปรับตัวลดลง เพราะสภาวะอากาศผันผวนทำให้อากาศในเอเชียเหนือมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาก และมีสปอต LNG เข้ามาเพิ่ม การกลับมาผลิตของโครงการบริดจสโตน และกอร์ดอน ทำให้ราคาลดลงเหลือ 7.04 เหรียญต่อล้านบีทียู
ปี 2564 สถานการณ์ตลาด LNG ยังล้นตลาด เพราะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 391 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการอยู่ที่ 377 ล้านตันต่อปี ทำให้คาดว่าราคา LNG ในไตรมาส 2 และ 3 จะปรับตัวลดลงอีก จากฤดูหนาวที่ผ่านไป คาดว่าราคาเฉลี่ย LNG ในปีนี้ จะอยู่ที่ 6.3-7.6 เหรียญต่อล้านบีทียู
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นจาก บล็อก 61 เข้ามาเต็มไตรมาส โดยจะมียอดขายเข้ามา 88,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน แม้ว่าราคาจะลดลงเล็กน้อย ส่วนต้นทุนต่อหน่วยอยู่ใกล้เคียงกับไตรมาสนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลประกอบการน่าจะดีขึ้น โดยไตรมาส 2 น่าจะมีปริมาณการขายเฉลี่ย 416,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ราคาก๊าซฯ เฉลี่ย 5.8 เหรียญต่อล้านบีทียู แต่ราคาก๊าซฯ เฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 5.6 เหรียญต่อล้านบีทียู ส่วนต้นทุนต่อหน่วยประมาณ 28-29 เหรียญต่อบาร์เรล มี EBITDA Margin เฉลี่ยทั้งปี 70-72%
สำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่กระทบการลงทุนของบริษัทฯ เพราะเป็นการลงทุนระยะยาว เน้นพื้นที่เป้าหมายในภูมิภาคนี้ และเน้นโครงการที่เริมต้นใหม่ เพื่อให้มีผลกำไรในระยะยาว และยังหาโอกาสการลงทุนใน LNG ไฟฟ้า และดิจิทัล โดยเน้นประเทศที่อยู่ในเอเชียใต้ และตะวันออกกลาง
ทางด้าน นายธนัตถ์ ธำรงศักดิ์สุวิทย์ ผู้จัดการ แผนกนักลงทุนสัมพันธ์ ปตท.สผ. กล่าวว่า ความคืบหน้าของโครงการ Sabah กำลังการผลิต 270 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ปีนี้จะเพิ่มขึ้นได้ 15,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนปีหน้าจะเพิ่มอีก 20,000 บาร์เรลต่อวัน โครงการ SK410B คาดว่าจะผลิตได้ถึง 800-1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และมีแผนที่จะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายปี 2565
ส่วนโครงการในประเทศไทยเน้นโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งโครงการบงกชสามารถเริ่มผลิตได้ปี 2565-2566 แต่ G1/61 ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย และหาแผนรองรับ เพราะยังไม่สามารถเข้าติดตั้งแท่นผลิตได้ ซึ่งอาจจะจะมีผลกระทบบางส่วนสำหรับปริมาณการผลิตเมื่อเริ่มสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ของแหล่งนี้ อย่างไรก็ตาม การเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณล่าช้า ยังไม่ได้ปรับงบลงทุน แต่มีแผนรองรับแล้วหากปริมาณการผลิตที่จะลดลงน้อยกว่าสัญญา
สำหรับโครงการ บล็อก 61 ในโอมาน คาดว่าจะมีปริมาณการขายจากโครงการนี้เข้ามาในปีนี้ 29,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และปีหน้าจะเพิ่ม 52,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
ความคืบหน้าโครงการ Gas to Power ในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นการลงทุน 2,700 ล้านเหรียญ จะทำทั้งอัพสตรีมพัฒนาแหล่ง M3 และซอติก้า และจะลงทุนท่อส่งก๊าซฯ บนบกและในทะเล ความยาว 370 กิโลเมตร ขนส่งก๊าซฯ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจะส่งก๊าซฯ เข้าโรงไฟฟ้าที่จะตั้งอยู่ที่เมืองไจรัส ทางตอนใต้ของย่างกุ้ง หลังจากที่ผลิตไฟฟ้าแล้วจะส่งขายให้ National Grid ให้กับรัฐบาลเมียนมาต่อไป และยังอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ขนาด 600 เมกะวัตต์ ส่วนงานด้านอื่น ๆ ก็เดินหน้าต่อเนื่อง รวมทั้งการเจรจาซื้อขายไฟฟ้าด้วย ล่าสุดแผนการพัฒนาของแหล่ง M3 ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเมียนมาแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมาแล้ว ทำให้คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายของโครงการนี้ได้ในปีหน้า เพื่อที่จะเริ่มผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) ปลายปี 2568
ส่วนธุรกิจเทคโนโลยี หรือ ARV จะมี 4 สายงาน คือ ธุรกิจซ่อมบำรุงท่อในทะเล ธุรกิจการเกษตรอัจฉริยะโดยใช้หุ่นยนต์ในการสำรวจพื้นที่ ธุรกิจโดรน และเทคโนโลยีสุขภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรค หรืออุปกรณ์ตรวจวัดต่าง ๆ ธุรกิจ ARV เริ่มให้บริการในกลุ่ม ปตท.ก่อน และขยายไปที่ กฟผ. มูบาดาลา และคู่ค้าอื่น ๆ
สำหรับงบลงทุนปี 2564 ยังคงเดิมที่ 4,200 ล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่รวมโครงการลงทุน บล็อก 61 ซึ่งจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 100 ล้านเหรียญต่อปี
18 ก.ย. 2568
18 ก.ย. 2568
18 ก.ย. 2568
17 ก.ย. 2568