สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

Last updated: 9 ก.ค. 2564  |  636 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

กกพ. ตรึงค่าเอฟที ก.ย.-ธ.ค. 64

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61 บาท/หน่วย ต่อไปจนถึงสิ้นปี 64 ตามแนวทางการพิจารณาที่จะเกลี่ยค่าเอฟทีให้คงที่ตลอดปี 64 นี้

โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบาง และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่ยังคงรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง การตรึงค่าเอฟทีจึงเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจ และไม่เป็นการซ้ำเติมผู้ใช้ไฟฟ้าจากค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปี

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.64 ประกอบด้วย
1.ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.64 เท่ากับประมาณ 64,510 ล้านหน่วย ปรับตัวลดลงจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน พ.ค.-ส.ค.64) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 67,885 ล้านหน่วย หรือลดลง 4.97%
2.สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.64 ยังคงใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงหลัก 53.90% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 20.13% และค่าเชื้อเพลิงลิกไนต์ของ กฟผ. 9.45% ถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 7.43% และอื่นๆ อีก 6.90%
3.ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ก.ย.-ธ.ค.64 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน พ.ค.-ส.ค.64 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซฯ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นจากประมาณในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค.64 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ ปรับตัวลดลง
4.อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (วันที่ 1-31 พ.ค.64) เท่ากับ 31.30 บาท/เหรียญสหรัฐ อ่อนค่าจากประมาณการในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.64 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31 บาท/เหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบและอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าที่ประมาณการไว้ กกพ. จะยังคงสามารถใช้เงินบริหารที่เก็บไว้จำนวน 4,129 ล้านบาท ไปช่วยรักษาเสถียรภาพค่าเอฟทีในช่วงปลายปี 64 ได้

สำหรับแนวโน้มค่าเอฟทีในปี 65 หากพิจารณาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ราคาพลังงานในประเทศสูงขึ้น จึงคาดว่าค่าเอฟทีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นการบริหารค่าเอฟทีในปี 65 จะเป็นไปในทิศทางเพื่อสร้างให้ค่าไฟฟ้ามีเสถียรภาพ มีความมั่นคง เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ ในการดูแลผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างยั่งยืน

สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้ กกพ. พิจารณาแนวทางการช่วงเหลือค่าไฟฟ้า หลังจากมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและกิจการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 พ.ค.64 โดยให้ต่ออายุมาตรการเดิมที่ให้ลดค่าไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.64 ให้มีผลรอบบิลเดือน พ.ค.-มิ.ย.64 ซึ่งสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิ.ย.64 นั้น กกพ.ได้จัดทำสมมติฐาน กรณีช่วยค่าไฟฟ้าทั้งประเทศ และกรณีช่วยค่าไฟฟ้าในบางพื้นที่ แต่จะต้องให้ภาครัฐออกนโยบายให้ชัดเจนก่อน เพราะต้องมีการจัดสรรงบประมาณมาช่วยเหลือ ซึ่งการรับมือกับโควิด-19 ในระลอกที่ 3 ตามมาตรการใช้เงินประมาณ 8.7 พันล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้