บ้านปู จำกัด (มหาชน)

Last updated: 13 พ.ค. 2563  |  557 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บ้านปู จำกัด (มหาชน)

บ้านปูฯ ใช้กลยุทธ์ Smarter & Greener ฝ่าวิกฤตโควิด-19

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนผลกระทบอย่างรุนแรงในวงกว้างในไตรมาสแรกของปี 2563 แต่การดำเนินธุรกิจของ บ้านปูฯ ยังคงสามารถดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 10 ประเทศที่เข้าไปลงได้อย่างราบรื่น ด้วยระบบการบริหารจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ที่มีประสิทธิภาพ โดยจัดเตรียมแผนปฏิบัติการในภาวะวิกฤตและเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ การกำหนดมาตรการให้พนักงานปฏิบัติงานจากที่พัก ซึ่งพนักงานของบ้านปูฯ กว่า 6,000 คน มีความปลอดภัยและสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและนโยบายของรัฐบาลในทุกประเทศที่ได้เข้าไปดำเนินธุรกิจ

ทำให้ผลการดำเนินงานโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ โดยผลการดำเนินธุรกิจไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 633 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,806 ล้านบาท) ลดลงจำนวน 66 ล้านเหรียญสหรัฐจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ประมาณ 2,065 ล้านบาท) คิดเป็น 9% โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 134 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,193 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,721 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (คำนวณโดยอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนที่ USD 1: THB 31.29)

โดยกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ในไตรมาส 1 การผลิตถ่านหินยังคงเดินหน้าได้ตามปกติ มีปริมาณการผลิตตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น จากการบริหารจัดการด้านการผลิตและการคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้มีศักยภาพการผลิตก๊าซฯ ที่ดีขึ้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนสัญญาซื้อขายแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกระแสเงินสดให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ ขณะที่ยังสามารถสร้างการเติบโตทางการผลิตได้ตามแผน

กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานมีการเติบโตที่ดี โดยโรงไฟฟ้าหงสาและโรงไฟฟ้าบีแอลซีพียังคงเดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากรายงานดัชนีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) กว่า 90% สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนและญี่ปุ่น สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มีการขยายพอร์ตเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท Sunseap Group Pte. Ltd. (Sunseap) ผู้นำธุรกิจระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคาของประเทศสิงคโปร์ ส่งผลให้สัดส่วนการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 48.6% จากเดิม 38.5% ทำให้บ้านปูฯ มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 760 เมกะวัตต์ (จากระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและโซลาร์ฟาร์ม) นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการผ่านแอพลิเคชัน รวมถึงเดินหน้าผนึกความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดตัวโครงการการบริหารจัดการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพิ่มศักยภาพการขนส่งพัสดุให้สะดวก รวดเร็ว ทั้งยังประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา บริษัทฯ ดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายทั่วทั้งองค์กร และกลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยเฉพาะการบริหารกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น

นางสมฤดี กล่าวเพิ่มเติมว่า บ้านปูฯ ยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหรือนวัตกรรมพลังงานที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า ตอบโจทย์ New Normal ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่มีผลต่อแนวโน้มการใช้พลังงานในอนาคต รวมทั้งการใช้พลังงานภาคประชาชนที่สูงขึ้น เพื่อให้ทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้จากทุกที่ รวมทั้งก้าวไปพร้อมกับเทรนด์ด้านพลังงานแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบกักเก็บพลังงานเพื่อเป็นแหล่งสำรองไฟฟ้า ระบบไมโครกริดเพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้า โมบายแอปสำหรับตรวจสอบการทำงานของแผงโซลาร์เซลล์ การใช้เทคโนโลยีเอไอในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นต้น

“เหตุการณ์วิกฤตโควิดในครั้งนี้ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์และ New Normal ต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างต่อเนื่อง” นางสมฤดี กล่าว

บ้านปูฯ ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 โดยร่วมมือกับกลุ่มมิตรผลในการจัดตั้งกองทุน มูลค่า 500 ล้านบาท เพื่อช่วยสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ได้บริจาคเงินไปแล้วกว่า 88 ล้านบาทให้กับหน่วยงานและโรงพยาบาลกว่า 30 แห่งทั่วประเทศไทย ร่วมมือกับ Muvmi เพื่อให้บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าสำหรับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทยในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และร่วมมือกับ FOMM ผู้นำด้านการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก จากประเทศญี่ปุ่น และ Haup Car ผู้นำบริการคาร์แชร์ริ่งผ่านแอพลิเคชัน เพื่อให้บริการด้านการขนส่งแก่บุคลากรทางการเพทย์ในช่วงโควิด-19

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้